"ประยุทธ์" ย้ำพูดคุยสันติสุขยึดกม.ไทยเป็นหลัก แย้มคุยกลุ่มมาลาปาตานี 2 ก.ย. ลั่นต้องลดความรุนแรงก่อนถึงคุยกันได้ ยันยังไม่เห็นชอบอะไร ขอให้ทุกกลุ่มรวมตัวมาคุย ฝากปชช.อย่าหนุนความรุนแรง ยันไม่ตัดปมใดเหตุป่วน 7 จว.ใต้ เผยจับผู้ต้องหาได้ทุกวันทั้งแก่ หนุ่ม รับงัดม. 44 สู้พวกบิดเบือน ลั่นยังไม่ปรับครม. บอกทุกอย่างอยู่ที่ตัวเอง ดูที่ผลงาน ไม่เอาผลโพลมาชี้วัด ยอมรับเหลือ 2 เก้าอี้
วันนี้ (23ส.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. แถลงภายหลังประชุมครม.ถึงการพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐหรือกลุ่มมาลาปาตานี โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลางว่า เป็นการพูดคุยโดยมีคณะพูดคุยพาร์ท A และพาร์ท B อยู่แล้ว ไม่ใช่เป็นการพูดคุยกับรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ากลุ่มที่จะพูดคุยกันชื่ออะไรก็แล้วแต่ แต่เราใช้กฎหมายไทยของเราเป็นหลัก เพราะมีเจตนารมณ์ต้องการสร้างความสงบสันติให้เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กับ 4 อำเภอในจ.สงขลาให้ได้ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการหารือ อย่าไปเร่งนักเพราะจะกลายเป็นประเด็น ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำงาน เราต้องการให้ภาพการลดความรุนแรงเกิดขึ้นได้เสียก่อน มันถึงจะคุยกันต่อไปได้ แต่ระหว่างที่พูดคุยยังมีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้น มันก็คุยกันต่อไม่ได้ ทั้งนี้ การแก้ปัญหามันต้องไปพร้อมกันทุกมิติ ทั้งการพัฒนา การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการพูดคุยสันติสุข ซึ่งอยู่ในยุทธศาสตร์อยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่เรื่องที่แก้ได้ง่ายก็ตาม
"ตราบใดที่มีความเห็นต่าง เราก็มองว่าทำผิดกฎหมายไทยไม่ได้ แล้วเราจะไปพูดคุยกับใครในประเทศก็ยังไม่ได้เลย จึงต้องไปคุยกันที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเราเป็นรัฐบาลจะไปพูดคุยกับคนทำผิดไม่ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า การพูดคุยกับกลุ่มมาลาปาตานีมีการลงนามข้อตกลงหรือ TOR เพื่อให้ความเห็นชอบในกรอบการพูดคุยแล้วหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ใครเป็นหัวหน้ารัฐบาลตอนนี้ ตนยังไม่เห็นชอบอะไรสักอย่าง เพราะยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา ส่วนขั้นตอนการพูดคุยให้ไปดำเนินการต่อกับพาร์ท A คือส่วนที่เป็นทางการ และพาร์ท B คือพวกที่เห็นต่างจากพาร์ท A ซึ่งมีกลุ่มมาลาปาตานีรวมอยู่ด้วย ตนไม่ได้ต้องการให้มีหลายกลุ่มขึ้นมา ก็ขอให้ไปรวมกัน แล้วค่อยมาพูดคุย เพราะรัฐบาลก็มีรัฐบาลเดียว ก็ต้องพูดภาษาเดียวกัน
"ยืนยันว่ารัฐบาลต้องการทำให้เหตุการณ์ยุติลงให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะประชาชนเดือดร้อน การพัฒนาประเทศก็เดินหน้าไปไม่ได้เท่าที่ควร วันนี้เปิดประชาคมอาเซียนไปแล้ว ศักยภาพในภาคใต้เยอะแยะไปหมด ก็ขอฝากประชาชนภาคใต้ อย่าไปสนับสนุนหรือให้ความร่วมมือ หรือไปหวาดกลัวผู้ใช้ความรุนแรงที่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ แต่ถ้ามีเจ้าหน้าที่ทำความเดือดร้อนให้ก็แจ้งมา ผมจะสอบสวนลงโทษให้" นายกฯกล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าศักยภาพของกลุ่มมาลาปาตานีก็ยังถือว่ามีบทบาทใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่มี ผมไม่ถือว่าใครมีศักยภาพ เป็นเรื่องที่เราไปให้ศักยภาพเขาเอง คือไปเขียนโฆษณาให้เขา เขาถึงมีศักยภาพ ถ้าไม่เขียนก็ไม่มี เพราะชื่อนี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ก็แล้วแต่เขาให้เกียรติเขา ก็คิดต่างได้ คิดที่ต่างประเทศ ไม่ได้คิดในประเทศไทย ถ้าคิดในประเทศไทยเมื่อไหร่ โดนจับเมื่อนั้น"
เมื่อถามว่า กำหนดการพูดคุยกับกลุ่มมาลาปาตานีเป็นวันที่ 2 ก.ย.นี้ใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีการกำหนดคร่าวๆ ซึ่งตนให้ฝ่ายความมั่นคงพิจารณาอยู่ ตนไม่อยากให้ความสำคัญตรงนี้มาก มันอยู่ที่ว่าต่างฝ่ายต่างมีความจริงใจที่จะแก้ปัญหาหรือไม่ ถ้าจริงใจ ก็ต้องหยุดความรุนแรงให้ได้ก่อน ไม่ใช่เอาประเด็นความรุนแรง มาเร่งรัดการพูดคุย แล้วถ้าพวกเราเล่นกันแบบนี้ เราต้องไปยอมรับข้อเสนอของเขาที่บางทีก็มีปัญหากับเราใช่หรือไม่ โดยประเด็นสำคัญจะทำอย่างไรให้คนไทยพุทธและไทยมุสลิมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข รัฐบาลจะได้เดินหน้าพัฒนาตามที่มี 8-9 ยุทธศาสตร์รองรับ
"เรื่องนี้เป็นการพูดคุยสันติสุขไม่ใช่การเจรจา เพราะการเจรจามันมีการสู้รบ แต่ตรงนี้เป็นการทำผิดกฎหมายคดีอาญาฆ่าคนตาย แล้วมีคนมารับสมอ้าง อ้างนี่ อ้างโน้น จะชื่ออะไรก็ไม่รู้ ก็ไปหากันมาให้ออก ไม่เช่นนั้นมันก็แตกลูกแตกหลานไปหลายคณะ แล้วทีนี้จะพูดกับใคร รัฐบาลจะมีรัฐบาลเดียวจะไปพูดคุยกับหลายคณะไม่ได้" นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเหตุระเบิดและวางเพลิงใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนว่า ฝ่าย ความมั่นคงชี้แจงมาแล้วมีอยู่ 3 ประเด็น ประเด็นแรกคือพรรคแนวร่วมปฏิวัติเพื่อประชาธิปไตย (นปป.) ที่ต้องไปดูว่ามีการละเมิดกฎหมายอะไรบ้างจะเกี่ยวไม่เกี่ยวก็ว่ากันอีกที เอาเป็นว่าผิดกฎหมายอะไรหรือเปล่าทำความผิดอะไรบ้างจะมาบอกว่าไม่มีศักยภาพเป็นคนแก่แล้วผิดกฎหมายไหมเล่ามีการละเมิดอะไรบ้างหรือเปล่า สองคือเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีเหตุการณ์อยู่แล้วในปัจจุบันต้องไปดูว่าเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ซึ่งได้มีการจับกุมได้มาหลายรายแล้วมองว่าจะมีความเกี่ยวข้องหรือเปล่าแต่ไม่ใช่กรณีที่ว่าจะขยายขัดแย้งมานอกพื้นที่คงไม่ใช่ประเด็นนั้น และสามคือการเมืองที่ไปขยายความขัดแย้งในประเด็นร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องการศึกษาที่ทำให้มีความไม่เข้าใจกัน มีคนฉวยโอกาสตรงนี้ดังนั้นต้องมาดูความเชื่อมโยงตรงไหนอะไรอย่างไร แต่ฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่ายังไม่ทิ้งอะไรสักอัน จะโยงก็ได้ไม่โยงก็ได้แล้วแต่หลักฐานต้องสอบ ใจเย็น ๆ ก็จับกันได้หลายคนแล้วเดี๋ยวจะได้ความชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่เกี่ยวกับกลุ่มมาลาปาตานีเป็นคนละเรื่อง
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่จับกุมผู้ต้องหามาได้มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่สรุป ๆ เพิ่งจับมายังไม่ได้สอบชัดเจนเลยต้องเรียกมาสอบก่อนตอนนี้จับมาแล้ว จับมาทุกวัน การจับกุมมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายทำได้อยู่แล้ว อย่าไปมองว่าจับมาแล้วปล่อยเพราะจับผิดตัวจับแพะไม่ใช่ เมื่อมีหลักฐานในกล้องวงจรปิดก็ต้องเชิญตัวมา ถ้าไม่ผิดต้องปล่อยกลับไปก็เท่านั้น
เมื่อถามว่า ที่บอกว่ามีการจับผู้ต้องสงสัยมาเพิ่มเป็นกลุ่มเดียวกับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับ 20 คนที่ผบ.ตร.ระบุไว้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ใช่ ๆ เขาจับมาทีละคน มันไม่ได้จับง่ายทีเดียว 20 คนเมื่อไหร่เล่า เขาก็สอบมีแผนผังโยงกันไป ที่จับได้ก่อนก็จับไปที่จับไม่ได้ได้วิ่งหนีอยู่แถวนั้น
เมื่อถามอีกว่า กลุ่มนี้คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ผบ.ตร.พูดหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ก็มีรุ่นใหม่รุ่นเก่าก็ทั้งนั้นแหละมันก็แล้วแต่ คนรุ่นใหม่มันมาจากเรื่องที่มันต่อสู้เดิมและก็ปลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐธรรมนูญ บิดเบือนเรื่องศึกษาเรื่องกฎหมาย ผมก็ออกมาตรา 44 ไปให้แล้วเรื่องการศึกษากับเรื่องศาสนา ถึงแม้ว่าคำสั่งผมเป็นกฎหมายมันแก้ไขได้ แต่ถามว่ารัฐบาลไหนจะกล้าแก้ประชาชนจะยอมไหมเล่า เรื่องการศึกษา 15 ปีกับเรื่องสนับสนุนทุกศาสนา นี่แก้ให้เกิดความชัดเจน จริงๆไม่ได้มุ่งหวังกดศาสนาอื่นเพียงแต่เอ็นการคิดแบบกฎหมายบ้างอะไรบ้างผมก็เติมให้สำเร็จครบถ้วนจะได้ไม่บิดเบือน จริง ๆ แล้วถ้าผมไหวังเพื่อให้ผมได้รับคะแนน ผมก็ทำก่อนหน้าประชามติ ผมก็มาแก้อะไรที่มีปัญหาไม่มีความเข้าใจวันหน้ารัฐบาลใหม่ก็แก้ได้หมดแต่ถามว่าจะกล้าแก้ไหมเพราะคือกฎหมายแล้ว เข้าใจหรือยัง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี ว่า เห็นมีการพูดมาหลายวันแล้ว ซึ่งตนยังไม่เคยคิดว่าจะปรับใครสักคน แล้วทำไมตนจะต้องปรับตามใคร หรือตามผลโพลต่าง ๆ
"ยืนยันว่าผมจะดูจากการทำงาน ของผมว่าผมสั่งอะไรไปในส่วนงานเชิงนโยบาย ถ้าเขาทำก็ถือว่าโอเคร อะไรที่เป็นงานริเริ่ม เป็นงานของนโยบาย รัฐมนตรีเขาทำแล้วผมจะไปปรับใครทำไม สิ่งที่เราทำคือแผนงานต่าง ๆ ที่ทำมานานแล้ว ในการจะต้องตั้งรัฐมนตรีช่วยเสริมให้ แต่ทั้งหมดมันอยู่ที่ผมซึ่งผมจะต้องเมื่อไรก็แล้วแต่ผม ไม่มีใครมาบังคับผมได้ ซึ่งผมจะต้องพิจารณาในภาพรวมด้วย"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ มีการหารือถึงความต้องการที่จะมีรัฐมนตรีช่วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการหารือ คนจะปรับก็คือตน และตนเป็นคนที่เริ่มเองทั้งหมด ตนจะดูใครไม่ดีมีปัญหาก็จะปรับ
เมื่อถามย้ำว่าจะสอดคล้อยกับระยะเวลาในช่วงเดือนตุลาคมที่จะมีการเกษียณอายุราชการของทหารด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่เกี่ยว ไม่ใช่เรื่องการตอบแทน การทำงานของรัฐบาล สื่ออย่าไปเขียนส่ง ๆ ว่าเป็นเรื่องการตอบแทนคนนี้คนโน้น ว่าเกษียณอายุแล้วจะต้องมีการรองรับในตำแหน่งต่าง ๆ ผมถามว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ไอ้ที่ทำงานมาด้วยกันปีที่แล้ว เป็นการทำงานที่ร่วมมากับผม ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะผมไว้ใจเขา ไม่เข้าใจอะไรกันเลยหรืออย่างไร ไปสนใจประเด็นที่เป็นกระพี้ ถ้าเขาทำดีอยู่แล้วผมจะไปปรับทำไม วันนี้ผมไม่ได้สนใจผลโพลต่าง ๆ และผมไม่สนใจที่จะมาใช้โพลในการปรับครม. ของผม ทุกคนก็ทำงานกันงก ๆ มีรัฐบาลไหนมาทำงานแต่เช้า 7.30 น. เลิกงาน 19.00-20.00 น. ไปดูไปถามกันบ้าง เคยมีการประชุมแบบนี้ไหม ที่ผ่านมารัฐมนตรีเข้ากระทรวงกันทุกวันหรือไม่ ครม.นี้มาทุกวัน ทำงานทุกวัน เสาร์ อาทิตย์ ก็ไม่ได้หยุด ดูความแตกต่างตรงนี้ อย่างเอาความรู้สึกเดิม ๆ มาตัดสินตรงนี้ มันไม่ได้ โควต้าครม. ก็มีอยู่แล้ว มีไม่เกิน 35 คน ก็เหลืออยู่ 2 ตำแหน่งที่ว่างไว้ เพื่อผมจะตั้งไปช่วยใครเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็เรื่องของผม"