“ศาลปกครองกลาง” พิพากษาสั่ง “กรมส่งเสริมสหกรณ์” ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ 9 สมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นจาก 4 สำนวน รวมกว่า 3.7 แสนบาท ฐานละเลยหน้าที่ปล่อย “ศุภชัย” อดีตผู้บริหารทุจริต ส่งผลสหกรณ์ขาดสภาพคล่อง ลุ้นกรมส่งเสริมสหกรณ์อุทธรณ์คดีได้อีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ 897/2557 ที่นางศิริรัตน์ เฑียรบุญเลิศรัตน์ ยื่นฟ้องกรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กระทำละเมิดจากการปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร กรณีที่นางศิริรัตน์เป็นสมาชิกสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด มีเงินฝากในบัญชีสหกรณ์ รวม 13,141,955.86 บาท ได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากกรณีที่ไม่อาจลาออกจากสมาชิกเพื่อถอนเงินค่าหุ้น และไม่อาจจะเบิกเงินฝากในสหกรณ์ได้ เนื่องจากมีประกาศสหกรณ์ฯ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2556 งดพิจารณาการลาออก โดยมีการแจ้งนางศิริรัตน์และสมาชิกอื่นๆ ว่าสหกรณ์ขาดสภาพคล่องไม่สามารถดำเนินธุรกรรมการเงินได้ตามปกติ ที่ส่งผลให้สมาชิกไม่สามารถเบิกถอนเงินได้ และมีประกาศสหกรณ์วันที่ 6 พ.ย. 2556 ชะลอความช่วยเหลือสมาชิกตามความจำเป็นเดือดร้อน โดยสหกรณ์ฯ แจ้งเหตุผลเพียงว่า มีสมาชิกจำนวนหนึ่งร้องขอให้ศาลบังคับตามคำพิพากษาอายัดสิทธิเรียกร้องเงินในบัญชีสหกรณ์ จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษาผู้ถูกฟ้อง ชดใช้เงิน 13,141,955.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
โดยศาลพิเคราะห์ข้อเท็จจริงประกอบข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1-2 ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อระงับยับยั้งการกระทำที่ไม่ชอบของนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ผู้บริหารสหกรณ์ หรือคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์อย่างจริงจัง โดยปล่อยให้มีการกระทำอย่างยาวนานว่า 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แม้ภายหลัง กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ให้ผู้ตรวจการสหกรณ์เข้าตรวจสอบในปี พ.ศ. 2546 แล้วพบว่า สหกรณ์ให้กู้กับบุคคลภายนอกโดยไม่ชอบเป็นจำนวนมาก แล้วให้สหกรณ์เรียกเงินคืนภายใน 60 วัน แต่สหกรณ์ไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับการให้กู้ไม่ชอบอย่างต่อเนื่องที่มีเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2549 มีการให้กู้ไม่ชอบเป็นเงินสูงถึง 1,370.38 ล้านบาท แล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551-2554 ยังคงมีการจ่ายเงินให้กับสมาชิกสมทบที่เคยเป็นกลุ่มบุคคลภายนอกกลุ่มเดิมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทั้งที่ไม่มีหุ้นในสหกรณ์ และมีหลักประกันต่ำอีกมากกว่า 2.6 หมื่นล้าบาท โดยปี พ.ศ. 2555 ยังจ่ายเงินทดรองให้กับนายศุภชัย นำไปใช้ในกิจธุระส่วนตัวเพียงคนเดียวสูงถึง 3,398.34 ล้านบาท การที่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ไม่รีบดำเนินการ คงปล่อยให้มีการกระทำที่ไม่ชอบเกิดขึ้นต่อเนื่องกว่า 10 ปี กระทั่งมีสื่อมวลชนได้นำเสนอพฤติกรรมทุจริตมิชอบในสหกรณ์ฯ อย่างแพร่หลายแล้วกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 จึงมีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องที่ 1 เข้าตรวจสอบและควบคุมการดำเนินการของสหกรณ์ฯ จึงมีการสั่งปลดคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ แต่การกระทำนั้นผู้ถูกฟ้องไม่ได้ดำเนินการอย่างเข้มงวดกวดขันตามอำนาจหน้าที่ว่าด้วยสหกรณ์ทั้งที่ผู้สอบบัญชีรายงานการตรวจพบการกระทำที่ไม่ชอบเรื่อยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 แต่ผู้ถูกฟ้องที่ 1 กลับให้รางวัลประกาศเกียรติคุณนายศุภชัย ผู้บริหารสหกรณ์ ให้เป็นนักสหกรณ์แห่งชาติ และจัดอันดับสหกรณ์ให้เป็นสหกรณ์มาตรฐานในระดับดีเลิศ ประจำปี พ.ศ. 2554 ซึ่งเป็นการให้รางวัลที่ขัดแย้งกับความเป็นจริง และไม่ชอบตามข้อกำหนดในประกาศกรมส่งเสริมสหกรณ์ ลงวันที่ 23 มิ.ย. 2553 โดยส่งผลให้เกิดความเชื่อถือแล้วปี พ.ศ. 2556 นายศุภชัย ได้รับเลือกมาเป็นประธานกรรมการดำเนินการสหกรณ์ ชุดที่ 29 อีกครั้ง กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องทั้งสอง ละเลยต่อหน้าที่กฎหมายให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งหากได้มีการดำเนินการอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ช่วงแรกที่ตรวจพบการทุจริตความเสียหายที่ร้ายแรงย่อมไม่เกิดกับสหกรณ์ฯ รวมทั้งสมาชิกด้วย
ส่วนที่จะต้องชดใช้นางศิริรัตน์จำนวนเท่าใดนั้น ศาลเห็นว่า ความเสียหายเกิดจาก 2 ส่วน คือ การกระทำทุจริตของคณะกรรมการสหกรณ์ฯ กับการละเลยต่อหน้าที่ ของผู้ถูกฟ้องที่ 1 โดยในส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ขณะที่จำนวนเงินค่าหุ้น และเงินฝากที่นางศิริรัตน์ไม่สามารถเบิกถอนออกมาได้หมด ยังไม่ถือว่าเป็นความเสียหายแท้จริง เพราะสมาชิกสหกรณ์จำนวนมากก็ได้ยื่นฟ้องคดีกับสหกรณ์ฯไว้ต่อศาลยุติธรรม ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้ชดใช้เงิน กระทั่งศาลล้มละลายกลาง มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของสหกรณ์ฯแล้ว จึงทำให้ผู้ฟ้องในฐานะเจ้าหนี้ยังมีโอกาสได้เงินคืน ดังนั้นศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายนี้ได้ คงมีแต่ความเสียหายที่นางศิริรัตน์ขาดไร้ประโยชน์จากดอกผลเงินฝากและเงินค่าหุ้นที่ไม่สามารถถอนไปใช้ได้เท่านั้น ซึ่งส่วนนี้เห็นควรกำหนดให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนนางศิริรัตน์ จำนวน 130,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อย 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันคดีถึงที่สุด
ส่วนกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในการร่วมชดใช้ เพราะตามกฎหมายความรับผิดทางละเมิด ผู้ถูกฟ้องที่ 2 ถือเป็นเพียงผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือสนับสนุนงานที่ได้รับมอบหมายในการสอบบัญชี ไม่ใช่มีอำนาจหน้าที่นายทะเบียนสหกรณ์โดยตรง ให้ยกฟ้อง
ขณะที่ในคดีหมายเลขดำ 879/2557 ที่มีการฟ้องคดีลักษณะเดียวกัน ศาลปกครองกลางก็มีคำพิพากษาเห็นควรกำหนดกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนแก่นางภัทราพร เกตุวัฒนเวสน์ ผู้ฟ้องที่ 1จำนวน 20,000 บาท และนางณัฐธยาน์ เกตุวัฒนเวสน์ ผู้ฟ้องที่ 2 จำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อย 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันคดีถึงที่สุด
และคดีหมายเลขดำ 899/2557 ศาลปกครองกลาง เห็นควรกำหนดกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนกับนายชาญชัย จรูญเกียรติกำจร ผู้ฟ้องที่ 1 จำนวน 20,000 บาท, นายชาญกิจ จรูญเกียรติกำจร ผู้ฟ้องที่ 2 จำนวน 25,000 บาท, นางซิวคิ้ม จรูญเกียรติกำจร ผู้ฟ้องที่ 3 จำนวน 100,000 บาท, น.ส.สุวรรณา จรูญกียรติกำจร ผู้ฟ้องที่ 4 จำนวน 1,000 บาท และน.ส.สุกัญญา จรูญเกียรติกำจร ผู้ฟ้องที่ 5 จำนวน 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อย7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันคดีถึงที่สุด
รวมทั้งคดีหมายเลขดำ 975/2557 ศาลปกครองกลาง ก็มีคำพิพากษาเห็นควรกำหนดกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนกับ น.ส.เฉลิมพร โรจน์รัตน์ศิริกุล ผู้ฟ้อง จำนวน 30,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อย7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้ดำเนินการภายใน 90 วันนับจากวันคดีถึงที่สุด
ดังนั้น รวมใน 4 สำนวนคดีดังกล่าวที่มีสมาชิกสหกรณ์ฯ ได้รับความเสียหาย ศาลฯสั่งให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ชำระค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งสิ้น 377,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามคดียังไม่สิ้นสุดตามกฎหมาย เนื่องจากฝ่ายกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้ถูกฟ้องที่ 1 ยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้อีกภายในวัน 30 วันนับจากที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำพิพากษา