กกต.ระบุนักเคลื่อนไหวที่ถูกจับกุมมีทั้งผิด กม.ประชามติ และความมั่นคง ต้องแยกให้ชัด แนะตำรวจไม่ต้องติดใจเอาความประชาชนทั่วไป ชี้ผู้ถูกจับกุมมีสิทธิประกันตัว แต่ถ้าไม่ใช้สิทธิแล้วมากล่าวหาเจ้าหน้าที่ถือว่าไม่เป็นธรรม เตือน กรธ.แก้ รธน.ตามยึดคำถามพ่วงอย่างเคร่งครัด หากเพี้ยนอาจถูกศาล รธน.ตีกลับ ทำกระทบโรดแมป
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกข้อกล่าวหาต่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ถูกจับกุมในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ว่าการจับกุมผู้ต้องหาที่ผ่านมาต้องแยกออกเป็น 2 ลักษณะความผิดคือ ตามกฎหมายประชามติ และตามกฎหมายความมั่นคง ซึ่งการกระทำผิดกฎหมายประชามติส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อความที่โน้มน้าวใจให้ประชาชนไปออกเสียงในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งผู้พิจารณาคือพนักงานสืบสวนสอบสวน ส่วนตัวเห็นหากว่าผู้ต้องหาเป็นประชาชนทั่วไปไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงและการกระทำไม่ได้มีผลกระทบต่อผลการออกเสียงประชามติ หรือทำให้ผลคะแนนเปลี่ยนแปลงไปมากก็ไม่จำเป็นต้องติดใจเอาความ โดยกระบวนการสอบสวนทุกอย่างอยู่ที่การพิจารณาของพนักงานสอบสวน ก่อนที่จะต้องส่งสำนวนฟ้องไปยังอัยการ ซึ่งอัยการอาจไม่พิจารณาส่งฟ้องก็ได้ โดยผู้ต้องหาทุกคนมีสิทธิที่จะประกันตัว แต่หากผู้ต้องหาไม่ใช้สิทธิประกันตัวและไปเรียกร้องหาความเป็นธรรมก็จะไม่เป็นธรรมแก่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
ส่วนที่มีการเรียกร้องให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญตามคำถามพ่วง โดยให้เพิ่มหน้าที่การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีของสมาชิกวุฒิสภาด้วยนั้น ส่วนตัวมองว่าการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญต้องเคร่งครัดตามคำถามที่ถามประชาชนในการออกเสียงประชามติ ไม่ควรเขียนให้เกิดผลที่ไม่เป็นไปตามผลของการออกเสียง เพราะไม่เช่นนั้นเมื่อ กรธ.แก้ไขร่างรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จและส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดก็ต้องย้อนกลับมาให้ กรธ.แก้ไขใหม่ ระยะเวลาตามโรดแมปก็จะล่าช้าออกไป