เมืองไทย 360 องศา
คำพูดล่าสุดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ และสมาชิกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ในด้านกฎหมายที่ยืนยันว่า “ยังไม่มีความคิดเรื่องเซตซีโร่พรรคการเมือง แต่ถ้ามีการพูดถึงหรือมีข้อเสนอเข้ามามากก็อาจพิจารณา”
ถือว่าน่าสนใจทีเดียว หากเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของมีชัย ฤชุพันธุ์ ทั้งในสถานะระดับ “วงใน” ของกลุ่มอำนาจในปัจจุบัน รวมไปถึงมือกฎหมายชั้นเซียนที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลขั้นตอน “โรดแมประดับสาม” ในวันข้างหน้า ที่สำคัญเขาต้องมีบทบาทสำคัญยิ่งสำหรับการร่าง “กฎหมายลูก” หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญในระยะเร่งด่วน 4 ฉบับ จากทั้งหมด 10 ฉบับ เพื่อรองรับการเลือกตั้งให้ทันปลายปี 2560 แต่ในที่นี้ก็ต้องโฟกัสไปที่ “กฎหมายพรรคการเมือง” ก่อน เพราะในช่วงสองสามวันนี้เริ่มมีการพูดถึงกันมาก ว่า จะออกมาแบบไหน มีการพูดถึงเรื่องการ “เซตซีโร่” พรรคการเมือง ที่เปรียบเสมือนการ “ล้างไพ่” ใหม่ โดยให้ทุกพรรคจดทะเบียนใหม่ สำหรับการลงสนามครั้งใหม่ภายใต้กติกาใหม่พร้อมๆ กัน
อย่างไรก็ดี การพูดอะไรในตอนนี้อาจเร็วเกินไป เพราะยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่เชื่อเถอะว่าการพูดแบบนี้มองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับการส่งสัญญาณล่วงหน้า ให้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ก่อน
หากมองในมุมของนักการเมืองในยุคปัจจุบันที่มีแต่ภาพลบชาวบ้านไม่ให้เครดิต ดังที่ปรากฏจากผลประชามติที่เทน้ำหนักไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นตัวแทนของ “เผด็จการรูปแบบใหม่” ผ่านทางเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญแบบใหม่ ที่ต้องบอกตรงๆ ว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่ “คนนอก” ที่ต้องผ่านพิธีการทางรัฐสภาแบบใหม่เหมือนกัน
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่จะมีการจำกัดขอบเขตของนักการเมือง ผ่านทางพรรคการเมือง โดยเฉพาะผ่านทางกฎหมายพรรคการเมืองที่กำลังจะยกร่างออกมาในอีกไม่นานนี้
สำหรับการเซตซีโร่ที่ว่านี้ เท่าที่พิจารณาจากท่าทีเบื้องต้นก็น่าจะออกมาประมาณว่าให้ทุกพรรคเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ นั่นคือ จดทะเบียนพรรคกันใหม่ อย่างไรก็ดี นั่นเป็นความหมายภายนอก แต่ในทางการเมืองทางลึกแล้ว นี่คือ การ “ย่อยสลาย” ซึ่งคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นอาการ “ผึ้งแตกรัง” หรือหากมองในอีกทางก็จะเป็นแบบ “ฝนตกขี้หมูไหล” ขึ้นมาทันที ถึงตอนนั้นอาจจะได้เห็นการไหลไปมาของบรรดาอดีต ส.ส.ตามพลังดึงดูด และถึงตอนนั้นจะได้เห็นภาพฝุ่นตลบอบอวลอีกครั้งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าจะต้องเกิดขึ้นทุกพรรคไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทย ของทักษิณ ชินวัตร และพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะสองพรรคดังกล่าวเริ่มเห็นสัญญาณการแตกตัวออกมาให้เห็นแล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนี้ยังไม่มีการเปิดช่องให้อย่างเป็นทางการ มีแต่การเคลื่อนไหวกันภายในเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ที่น่าจับตาก็คือ การเกิดขึ้นของพรรคทหาร หรือพรรคที่สนับสนุน “บิ๊ก คสช.” แม้ว่าภาพที่จะออกมาในวันหน้าอาจไม่ใช่มากันแบบตรง ๆ แต่เป็นแบบทางอ้อม หรือในรูป “นอมินี” แต่รู้กันว่าตั้งขึ้นมาเพื่อสนับสนุนใคร
เท่าที่เห็นในตอนนี้ที่เริ่มออกตัวก่อนใครก็เห็นจะเป็น “พรรคประชาชนปฏิรูป” โดย ไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตวุฒิสมาชิก อดีตกรรมาธิการยกร่างฯ และสมาชิกสภาปฏิรูปฯ ที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่แสดงท่าทีตอบรับ แต่ถ้าสังเกตให้ดีเขาก็ “ไม่ปฏิเสธ” แล้วกัน
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว พรรคของไพบูลย์ นิติตะวัน อาจไม่ใช่แกนหลักในการสนับสนุน เพราะอาจจะมีพรรคแบบนี้ ทั้งขนาดกลาง และเล็ก อีกหลายพรรคมาสนับสนุน รวมไปถึงพรรคขนาดใหญ่บางพรรค แม้ว่าไม่อยากฟันธงตอนนี้ แต่แนวโน้มหากเป็นไปได้ก็น่าจะออกมาทางพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า ซึ่งนั่นเป็นรูปแบบที่ผ่านทางพรรคตัวแทนที่ออกมาสำหรับการสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
แต่ที่ต้องโฟกัสกันตั้งแต่ตอนนี้ก็คือ บทบาทของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เวลานี้บารมีคับฟ้า สังเกตได้จากวันเกิดครบ 71 ปี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม มีบรรดานายทหาร ตำรวจ กลุ่มทุนเอกชน ตบเท้าไปอวยพรกันแทบไม่มีที่ยืน แม้เจ้าตัวยืนยันไปแล้วว่า “ไม่เล่นการเมือง” แต่ความหมายก็คงเป็นแบบไม่สมัคร ส.ส. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปฏิเสธตำแหน่ง “หัวหน้าพรรค ส.ว.” ที่แต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จำนวน 250 คน นี่แหละคือ “พรรคหลัก” ที่จะสนับสนุนนายกฯ คนนอก “คนนั้น” และคนที่เป็นหัวหน้าพรรคแบบนี้ ก็คือ “ขาใหญ่” แท้จริง
ดังนั้น หากมีการเซตซีโร่พรรคการเมืองให้นับหนึ่งใหม่เกิดขึ้นจริง มันก็เหมือนกับการย่อยสลายการเมืองในปัจจุบัน ซึ่งมีเงื่อนไขให้ทำได้ เพราะในสายตาของชาวบ้านมันไม่มีราคาอยู่แล้ว จะปู้ยี่ปู้ยำอย่างไรก็ทำได้ตามสะดวก อาจมีเสียงโวยวายบ้าง แต่นั่นก็คงเป็นเสียงจาก “เจ้าของชามข้าวเดิม” เท่านั้น!
