นายกรัฐมนตรีลั่นไม่ทูลเกล้าฯ ถวายชื่อ “สมเด็จช่วง” เป็นสมเด็จพระสังฆราช จนกว่าจะเคลียร์ข้อกล่าวหาให้จบก่อน ยันไม่ได้ยืนอยู่ข้างใคร แต่ทำตามหลักการ เคารพพระสงฆ์ทุกรูป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงขั้นตอนการดำเนินการต่อไปของรัฐบาล ภายหลังกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้ว่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ครอบครองรถเบนซ์โบราณเข้าข่ายความผิดใน 2 ข้อหากล่าวหาว่า ขั้นตอนการพิจารณาก็เป็นไปตามกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีขั้นตอนอยู่แล้ว แต่อะไรก็ตามที่ยังไม่มีการตัดสินออกมาก็ต้องให้โอกาสทั้งเจ้าหน้าที่ได้ทำงาน และให้โอกาสแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริง จากนั้นกระบวนการยุติธรรมก็จะเป็นผู้ตัดสินออกมา ถ้าไม่เป็นแบบนี้มันไปต่อไม่ได้ วันนี้บ้านเมืองก็ยุ่งมากพอสมควรแล้ว “ส่วนตัวของผมอะไรที่ยังไม่ใช่ความเร่งด่วนมากนัก ผมก็คิดว่าก็เบาๆ กันลงบ้าง”
ผู้สื่อข่าวแย้งว่า แต่ขณะนี้ก็มีลูกคู่ทั้งฝ่ายสนับสนุนและคัดค้านออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การเคลื่อนไหวต่างๆ ต้องดูว่าทำได้หรือไม่ ทั้งกฎหมาย และวินัยสงฆ์ ประชาชนสามารถคิดและตัดสินเองได้ เพราะเป็นผู้ที่มีศรัทธา แต่ทุกอย่างวันนี้น่าจะต้องใช้กฎหมายเป็นบรรทัดฐาน
ต่อข้อถามว่าการที่จะให้โอกาสแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหาชี้แจงข้อเท็จจริง แล้วเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชจำเป็นจะต้องรอกระบวนการให้เสร็จสิ้นก่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่ใช่จะรอ แต่ความจริงมันควรจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ หรือจะให้มันวุ่น ตั้งใครก็ตั้งทั้งหมดเลยหรือ ไม่จำเป็นจะต้องตรวจสอบตรวจทานอะไรเลย ผมเป็นคนสั่งตรวจสอบตั้งแต่ต้นหรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ทุกเรื่องเป็นคดีเก่าทั้งสิ้น ไม่ใช่จู่ๆ รัฐบาลนี้ไปขุดคุ้ยขึ้นมาเสียเมื่อไหร่ มันมีการร้องทุกกล่าวโทษ ทุกอย่างผมบอกแล้วว่าเป็นเรื่องของกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม และศาลที่จะว่ามา ผมก็ทำตามอำนาจบริหารที่มีอยู่วันนี้ก็สอบต่อไปสิ ถ้ายังไม่ชัดเจน ซึ่งมันก็เกี่ยวกับวิกฤตศรัทธาของประชาชนด้วย เมื่อคืนก่อนนอนสวดมนต์กันบ้างหรือเปล่า ถ้าไม่สวดก็ไม่รู้ผมสวดทุกคืนคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกอย่างถือเป็นคำสอนของพระองค์ทั้งหมด”
เมื่อถามย้ำว่า หมายความว่าการแต่งตั้งพระสังฆราชขึ้นอยู่กับเวลาที่เหมาะสมใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม แต่ขึ้นอยู่กับการสอบสวนซึ่งอย่าไปยุ่งกับเขามากนัก ถ้าถามฝั่งนี้คำฝั่งโน้นคำก็ทะเลาะกันไม่เลิก คนที่ถูกกล่าวหาก็ไปเตรียมหลักฐานมาต่อสู้คดี ก็ว่ากันไป คนที่ทำหน้าที่ก็ต้องปล่อยให้เขาทำหน้าที่ต่อไป ถ้าทั้งสองฝ่ายมาเจอหน้ากันได้ก็จะสามารถเดินหน้าไปสู่กระบวนการต่างๆ ได้ แต่ถ้าเจอกันไม่ได้จะมาบังคับให้ตนทำอะไร
ส่วนแล้วขั้นตอนการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรี ที่จะนำชื่อสมเด็จพระสังฆราชขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายจะเป็นเมื่อไหร่นั้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “ขั้นตอนของผมคือต้องเคลียร์ข้อกล่าวหาให้ได้ก่อน วันนี้เคลียร์กันหรือยัง แล้วผมเป็นคนทำหรือ ข้อกล่าวหาต่างๆ ที่มีอยู่ในขณะนี้ ผมเป็นคนทำความผิดด้วยหรืออย่างไร วันนี้ผมยังไม่ได้บอกเลยว่ามันผิดหรือถูก ถ้าคิดว่าถูกก็มาสู้คดี นำหลักฐานมาชี้แจงมันก็จบ ผมเคารพพระสงฆ์ทุกรูป ผมไม่ได้ยืนข้างใครอยู่แล้ว พระสงฆ์เองผมก็เคารพ กราบไหว้ท่านมาโดยตลอด วันนี้ผมเจอผมก็กราบไหว้เหมือนเดิม ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเพราะผมไม่ได้เลือกข้างใครอยู่แล้ว แต่ต้องเห็นใจผมด้วย เพราะผมทำหน้าที่ให้ประเทศชาติสงบ ปัญหาทุกวันนี้ก็ล้วนเป็นปัญหาเดิมทั้งสิ้น ถ้าอยากจะตกอยู่ในวังวนเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร ทำกันต่อไป สู้กันไปก็แล้วกัน ผมไม่สู้ด้วยไม่ว่าจะกับใครทั้งนั้น ผมสู้กับความยากจน ความเหลื่อมล้ำ สู้กับความไม่เป็นธรรม สู้กับการเตรียมการพัฒนาประเทศในช่วง 20 ปีข้างหน้าไว้ให้กับทุกคน ผมไม่ได้อะไรจากที่ทำมาเพราะยังไม่เกิดผลในตอนนี้ เพราะฉะนั้นจะไปคาดหวังให้เศรษฐกิจโตขึ้นร้อยละ 50 มันเป็นไปไม่ได้ คิดให้มีตรรกะกันบ้าง สร้างทางรถไฟไม่ใช่จะเสร็จในวันเดียว อยากถามว่าแล้วทำไมที่ผ่านมาไม่ทำกันไว้บ้าง ผมจะได้ไม่ต้องมาทำ”
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอได้ประสานงานกับทางการสหรัฐฯ ในการจับกุมตัวนายวิรพล สุขผล หรือเณรคำว่า ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่ทางการสหรัฐฯ จะส่งตัวมาเมื่อไหร่ อย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องของกระทรวงการต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการประสานงาน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเราจะไปชี้ว่าคนนั้นคนนี้มีความผิดแล้วต้องจับกุม ไม่เช่นนั้นก็คงจับได้หมด ทั้งนี้เราได้แจ้งไปในทุกๆ ที่แล้วว่าใครทำผิดอะไรไว้บ้าง หลบหนีคดีอย่างไร ได้แจ้งไว้ทั้งหมด ก็สุดแต่ว่าประเทศนั้นๆ จะว่าอย่างไร ทุกอย่างมันก็เป็นการเมืองโลก