เอเจนซีส์/MGR ออนไลน์ - มูฮัมหมัด อาลี นักชกแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตชาวสหรัฐฯ ได้เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบในวัย 74 ปี ที่โรงพยาบาลฟินิกส์ รัฐแอริโซนา ในคืนวันศุกร์ (3 มิ.ย) ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยโรคระบบการหายใจล้มเหลว ที่เป็นผลพวงมาจากการป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน หลังจากที่อาลีถูกส่งตัวด่วนเข้ารับการแอดมิตในวันพฤหัสบดี (2 มิ.ย) ด้านครอบครัวออกแถลงการณ์ประกาศจะจัดพิธีศพที่บ้านเกิดของนักชกระดับตำนานโลกในเมืองลุยซ์วิล (Louisville) รัฐเคนตักกี ในขณะที่โปรโมเตอร์ ดอนคิง ชี้ “จิตวิญญาณของโมฮัมหมัด อาลี ยังคงอยู่” ในขณะที่ ออสการ์ เด ลา โฮยา ฉายาว่า “โกลเด้น บอย” ร่วมทวีตไว้อาลัยโดยโชว์ภาพถ่ายคู่ ซึ่งรวมไปถึงการทวีตไว้อาลัยของ จอร์จ โฟร์แมน คู่ปรับตลอดกาล ทวีต และ ไมค์ ไทสัน
NBC NEWS สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้ (4 มิ.ย.) มูฮัมหมัด อาลี ที่เป็นระดับไอคอนของโลก ไม่ว่าจะในด้านกีฬาที่เป็นถึงตำนานผู้ยิ่งใหญ่อดีตแชมเปียนเฮฟวีเวตของโลกถึง 3 สมัย และการเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ได้เสียชีวิตลงแล้วในโรงพยาบาลฟินิกส์ รัฐแอริโซนา โฆษกครอบครัวอาลียืนยันกับ NBC NEWS
“หลังจากที่ต้องต่อสู้กับโรคพาร์กินสันมาจนถึง 32 ปีเต็ม มูฮัมหมัด อาลี ได้จากไปอย่างสงบในวัย 74 ปี เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก 3 สมัยรุ่นแชมเปียนเฮฟวีเวตได้เสียชีวิตลงในค่ำวันนี้” บ็อบ กันเนล (Bob Gunnell) โฆษกครอบครัวอาลีแถลงกับสื่อสหรัฐฯ
ด้านโปรโมเตอร์คู่ใจ ดอน คิง ได้เปิดเผยผ่าน CNN สื่อสหรัฐฯ ให้ความเห็นหลังการสูญเสียมือชกระดับตำนานของโลก ว่า ในความรู้สึกเขา อาลี ยังไม่ตาย “จิตวิญญาณของเขายังคงอยู่ตลอดไป” และยังให้ความเห็นต่อว่า “อาลีเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เป็นแชมเปียนของผู้คน เป็นเหนือความที่สุดตลอดกาล”
และ คิง ยังกล่าวถึงอาลีในขณะที่ต้องล้มป่วยด้วยโรคฟาร์กินสัน ว่า “ถึงแม้ว่าเขาต้องป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน แต่ความรักของเขาในชีวิตและผู้คน ยังคงมีอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลง” โดยยืนยันว่า “ความมั่นคงทางจิตใจของอาลีนั้นแข็งแกร่ง ไม่ใช่เป็นคนที่จะถูกคว่ำ คำว่าพ่ายแพ้ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของโมฮัมหมัด อาลี”
ทั้งนี้ CNN รายงานว่า ออสการ์ เด ลา โฮยา (Oscar De La Hoya) ฉายาว่า “โกลเด้น บอย” แชมป์โลกระดับตำนานอีกคน ได้ทวีตภาพคู่ของเขา และ โมฮัมหมัด อาลี พร้อมกล่าวไว้อาลัย RIP ต่อนักชกผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นแชมเปียนตลอดกาล
และมีรายงานว่า คู่ปรับตลอดกาลของอาลี จอร์จ โฟร์แมน ได้ทวีตข้อความไว้อาลัย และรวมไปถึง ไมค์ ไทสัน ซึ่ง จอร์จ โฟร์แมน ในวัย 67 ปี ได้กล่าวถึงอาลี ว่า “ส่วนที่ดีที่สุดของผมได้จากไปแล้ว”
ทั้งนี้ NBC NEWS รายงานว่า ที่ผ่านมา อาลีต้องผจญกับโรคพาร์กินสันมาถึง 3 ทศวรรษ และมีปัญหาการป่วยด้านระบบประสาทเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อระบบการออกเสียและด้านร่างกายของนักชกระดับตำนานผู้นี้ ซึ่งทางครอบครัวของนักชก ยืนยันว่า จะมีการจัดพิธีศพขึ้นในบ้านเกิดของอาลีที่เมืองลุยซ์วิล (Louisville) รัฐเคนตักกี ต่อไป
โดยมีรายงานว่า อาลีถูกส่งตัวด่วนเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลในวันพฤหัสบดี (2 มิ.ย.) จากปัญหาโรคระบบการหายใจของอาลีที่สืบเนื่องมาจากการล้มป่วยด้วยโรคพาร์กินสัน และก่อนหน้านี้ กันเนลกันได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทางครอบครัวได้เข้าเยี่ยม ยืนรายล้อมเตียงของคนไข้ สนทนา และใช้เวลาอยู่กับโมฮัมหมัด อาลี ในช่วงเวลาสั้น ๆ ในระหว่างที่เขาเข้ารับการรักษาตัว
ด้านโฆษกประจำตัวของไลลา (Laila) ลูกสาวของอาลี ได้แถลงในวันพฤหัสบดี (2 มิ.ย) ว่า ในขณะนี้สิ่งสำคัญที่สุดตรงหน้า คือ สุขภาพของบิดา โมฮัมหมัด อาลี และไลลาตื้นตันใจต่อความห่วงใยที่หลั่งไหลส่งมายังครอบครัวของเธอ ในขณะที่เธอได้ใช้เวลาที่มีค่ากับบิดาในโรงพยาบาล
สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อาลีต้องประสบปัญหากับโรคพาร์กินสันขั้นร้ายแรงมากขึ้น ซึ่งโรคร้ายนี้นำไปสู่โรคการติดเชื้อในระบบหายใจในภายหลัง ซึ่งคาดว่า เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของราชากำปั้นระดับตำนาน
โดยก่อนหน้านี้ ในเดือนธันวาคม 2014 โมฮัมหมัด อาลี ถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเป็นเวลาหลายวัน และในเดือนมกราคม 2015 เขาต้องกลับเข้าไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งจากปัญหาโรคระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ
อาลีขึ้นชกมวยครั้งแรกเมื่ออายุได้เพียง 12 ปี โดยมีครูฝึกเป็นตำรวจเชื้อสายไอริช ชื่อ โจ มาร์ติน จุดประสงค์แรกคือ ให้อาลีใช้เป็นทักษะการต่อสู้เพื่อปกป้องจักรยานราคา 60 ดอลลาร์ของตน จากเด็กละแวกบ้านด้วยกัน และอาลีได้ขึ้นชกมวยอาชีพครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1960 โดยมี แองเจโล ดันดี เทรนเนอร์ชื่อดังระดับโลกเป็นผู้ฝึกสอน
อาลีผู้ได้รับฉายาว่า “โบยบินเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง“” ขึ้นชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ ซอนนี่ ลิสตัน ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1964 ที่หลายฝ่ายคาดกันว่าเขาต้องเป็นฝ่ายแพ้
และในการชกครั้งประวัติศาสตร์ของอาลี และของวงการมวยโลก คือ การพบกับ จอร์จ โฟร์แมน ซึ่งขณะนั้นโฟร์แมนเป็นแชมป์โลกอยู่ และเป็นการชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 ในชีวิตของอาลี ในศึกที่มีชื่อว่า “The Rumble in the Jungle” ที่กรุงกินซาซา ประเทศซาอีร์ การชกครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการจัดชกมวยระดับโลกเป็นครั้งแรกใจกลางทวีปแอฟริกาด้วย แต่หากยังมีนัยทางการเมืองแฝงอยู่ด้วย เพราะในขณะนั้นกระแสการเหยียดสีผิวกระเพื่อมรุนแรงมากในทั่วทุกมุมโลก โดยโปรโมเตอร์ผู้จัดครั้งนี้ คือ ดอน คิง ซึ่งต่อมาศึกครั้งนี้ได้สร้างชื่อให้กับ ดอน คิง แจ้งเกิดได้ในวงการมวยระดับโลกมาจนปัจจุบัน
และในการเสียเข็มขัดแชมป์โลกของ โมฮัมหมัด อาลี พบว่า นักชกผู้ยิ่งใหญ่เสียแชมป์โลกเมื่อเป็นฝ่ายแพ้คะแนน 15 ยกแก่ ลีออง สปิงคส์ นักมวยรุ่นน้องอดีตแชมป์เหรียญทองโอลิมปิกที่มอนทรีออล แม้ต่อมาจะเป็นฝ่ายแก้มือเอาชนะสปิงคส์ในครั้งต่อมาได้ แต่ก็กลับต้องเสียแชมป์โลกทันทีเมื่อพบกับ ลาร์รี โฮมล์ส ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตที่สามารถป้องกันตำแหน่งได้มากถึง 24 ครั้ง อาลีขึ้นชกมวยครั้งสุดท้ายก็เป็นแพ้คะแนน 10 ยก ต่อ เทรเวอร์ เบอร์บิค ที่ต่อมากลายเป็นแชมป์โลกเฮฟวีเวต WBC โดยเกิดจากสภาพร่างกายของอาลีที่ไม่ไหวแล้ว ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 1981
มูฮัมหมัด อาลี ถือว่าเป็นนักมวยผู้เป็นระดับตำนานในหลายด้าน นอกจากบุคลิกที่โดดเด่น กล้าคิด กล้าพูด หลายเรื่องที่อาลีแสดงความเห็นและแสดงออกทางสังคมล้วนแต่มีนัย มีความหมายทั้งสิ้น ประกอบกับกระแสการเมืองทั้งในสหรัฐอเมริกา และการเมืองโลกขณะนั้น ยิ่งทำให้อาลีกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นระดับไอคอนของโลกขึ้นมา
หลังแขวนนวม มูฮัมหมัด อาลี เป็นที่รับรู้กันดีว่าเป็นโรคพาร์กินสัน หรือ โรคเมาหมัด ซึ่งเป็นผลจากการชกมวย แต่ในพิธีเปิดโอลิมปิก ที่แอตแลนตา อาลีได้รับเกียรติจากคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ให้เป็นบุคคลสุดท้ายที่จุดคบเพลิงด้วยมือที่สั่นเทา แต่อาลีก็สามารถทำได้ เป็นที่ประทับใจของผู้คนทั่วโลก แม้กระทั่ง บิล คลินตัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ผู้เป็นประธานพิธีเปิด ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง