ระยอง - กกต.อบรมคณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องฯ รับมือประชามติ 7 ส.ค. ประธาน กกต.วอนพวกฉีก-เผาทำลายบัญชีรายชื่ออย่าเอาบ้านเมืองเป็นของเล่น ด้าน “สมชัย” ยันบุ๊กเล็ต กกต.ไม่เอียง แนะไทยพีบีเอสงดเอาคนทำผิดกฎหมาย-ตีสองหน้าร่วมรายการ ยัน “มีชัย-ปชป.” ไม่ร่วมถกไม่เป็นปัญหา เตรียมชงออกมติเตือนหน่วยราชการวางตัวเป็นกลาง เหตุแจกเอกสารจูงใจ แนะจัดเวทีต่างจังหวัดตามข้อเสนอ “บิ๊กป้อม” ควรเป็นแบบปิด ป้องกันการสร้างสถานการณ์
วันนี้ (21 ก.ค.) ที่โรงแรมคลาสสิค คามิโอ ระยอง ถนนสุขุมวิท อ.เมืองฯ จ.ระยอง สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้ง เพื่อปรับปรุงและพัฒนาระบบกระบวนการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของสำนักงาน กกต. โดยมีกรรมการการเลือกตั้งเข้าร่วม
นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.กล่าวมอบนโยบายตอนหนึ่งว่า แม้ขณะนี้ยังไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แต่คณะอนุกรรมการฯ ก็ต้องศึกษากฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องไว้เสมอเพื่อเตรียมความพร้อมรับมืออยู่ตลอดเวลา เนื่องจากการสืบสวนสอบสวนหรือการพิจารณาคำร้องในคดีเลือกตั้งมีปัญหาซับซ้อน ผู้ที่กระทำผิดในคดีเลือกตั้งจะมีการพัฒนาการกระทำผิดไปเรื่อยๆ และขอให้ศึกษาการพิจารณาคำร้องของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง และศาลอุทธรณ์แผนกคดีเลือกตั้งเนื่องจากบางครั้งในคำร้องเดียวกันศาลก็วินิจฉัยไม่เหมือนกัน โดยการทำงานของ กกต.ขอให้ทุกคนยึดหลักกฎหมาย ซื่อสัตย์สุจริต เป็นกลางทางการเมือง ต้องไม่ชี้นำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงคล้อยตามไปในทางใดทางหนึ่ง
นอกจากนี้ แม้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 267 บัญญัติให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้จัดทำพระราชบัญญัติประกอบที่เกี่ยวข้องกับการจัดเลือกตั้ง แต่ กกต.ก็ให้ความสำคัญโดยสั่งการให้สำนักงาน กกต. ดำเนินการยกร่างกฎหมายประกอบที่จำเป็นกับการเลือกตั้ง ทั้ง 4 ฉบับคู่ขนานไปแล้ว และมีการยกร่างเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการชุดใหญ่ และส่งต่อให้ กกต.พิจารณาต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหลือเวลาอีกเพียง 16 วันจะถึงวันออกเสียงประชามติ ขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก และไลน์เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากเป็นยุคดิจิตอล มาเร็วไปเร็ว บางคนรับข้อมูลยังไม่ทันอ่านก็รีบส่งต่อ ไม่รู้เพจไหนเป็นจริงเป็นเท็จ ต้องใช้วิจารณญานตรวจสอบข้อมูลด้วย ผู้บริหารทุกคนจะบอกว่ายังไม่ทราบ ยังไม่รู้ข้อมูลไม่ได้
ด้านนายประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านการมีส่วนร่วม กล่าวว่า ขณะนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับการทำประชามติ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ส่งร่างรัฐธรรมนูญมายัง กกต.ก็มีงาน 4 เรื่อง คือ 1. การกำหนดวันออกเสียงประชามติ 7 ส.ค. นี้ 2. จัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ ปัจจุบัน กกต.ทำแล้ว แต่ยังมีเสียงบ่นว่าไม่เห็น ไม่ได้รับ ตนขอบอกว่าอย่างไรก็ไม่ถึง เพราะการทำประชามติครั้งนี้กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ส่งร่างรัฐธรรมนูญทุกครัวเรือน อีกทั้งเรามีแอปพลิเคชันฉลาดรู้ที่สามารถเปิดดูร่างรัฐธรรมนูญได้เลย ไม่เหมือนปี 2550 แต่สิ่งที่จะถึงทุกครัวเรือนคือบุ๊กเล็ต หรือจุลสาร ที่สรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญและคำถามเพิ่มเติมประกอบคำอธิบาย รวมถึงกระบวนการขั้นตอนการออกเสียงประชามติ 17 ล้านเล่ม
3. การจัดการออกเสียงประชามติให้เป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม และ 4. การรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิ เรื่องนี้เป็นความท้าทาย เพราะเมื่อปี 2550 มีการรณรงค์ 20 วัน แต่ครั้งนี้เรามีเวลาถึง 116 วัน ซึ่งวันนี้ทุกอย่างที่เดินหน้า และรณรงค์เพื่อให้ทุกคนออกมาใช้สิทธิ เราตั้งเป้าไว้ 80 เปอร์เซ็นต์ เพื่อกดดันตัวเองในการทำงาน อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้แน่นอน
ส่วนนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวต่อว่า การประชุมวันนี้เป็นการส่งสัญญาณว่าเราพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยคาดว่าเร็วสุดจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ค. ช้าสุดในเดือนธันวาคม 2560 ทั้งนี้ อนุกรรมการวินิจฉัยเป็นหัวใจสำคัญ เพราะการพิจารณาคำร้องต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่ กกต.จังหวัดมาถึงสำนักเลขาธิการ ต้องผ่านอนุกรรมการวินิจฉัยก่อน เพื่อให้ความเห็น ก่อนที่จะส่งมาถึง กกต. เพื่อให้ความเห็นว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะยกคำร้อง ให้ใบเหลืองหรือใบแดง ทั้งนี้ กกต.ปรารถนาที่จะเห็นการทำงานของอนุกรรมการวินิจฉัยที่ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของเจ้าหน้าที่ ไม่ต้องสามัคคีปรองดอง เพราะจะได้วินิจฉัยตรงไปตรงมา เสียงข้างมากก็คือข้างมาก ข้างน้อยก็คือข้างน้อย เพราะหากเป็นไปในโทนเดียวกันทั้งหมด ก็จะส่งผลต่อการวินิจฉัยของ กกต.ด้วย
ภายหลังการประชุม นายศุภชัยกล่าวถึงให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีเหตุการณ์ฉีกบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ใช่สาระสำคัญ การออกเสียงประชามติยังคงเดินหน้าต่อไป จึงขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิออกเสียงในวันอาทิตย์ที่ 7 ส.ค.นี้ ช่วงโค้งสุดท้ายการทำประชามตินั้นตนไม่มีความกังวลอะไร ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นตามสิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ บนพื้นฐานของความสุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนกรณีที่มีการเผาบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิที่ จ.ขอนแก่น เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานกรณีดังกล่าว ต้องมีการสืบสวนสอบสวน เพื่อดูต้นสายปลายเหตุก่อน
“ขอร้องเพื่อให้บ้านเมืองเรียบร้อยอย่าทำแบบนี้ อย่าเอาบ้านเมืองมาเป็นของเล่น ถ้าเป็นเช่นนี้จะทำให้การเลือกตั้งล่าช้าออกไป ไม่ใช่ กกต.ไม่เข้ม คนที่ไม่เอาด้วยก็หาเรื่อง ขอวิงวอนอย่าทำให้ผิดครรลอง” นายศุภชัยกล่าว
ด้านนายสมชัยกล่าวว่า ทราบว่ามีการฉีกบัญชีรายชื่อ 4 หน้า และเผาทำลาย แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดและยังไม่มีหลักฐาน แต่เอกสารดังกล่าวถือเป็นทรัพย์สินของราชการ ซึ่งการทำลายเอกสารทางราชการเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอาญาซึ่งไม่สมควรทำ
ส่วนที่นักวิชาการและฝ่ายการเมืองออกมาเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติ เปิดเผยทางออกหากประชามติไม่ผ่าน นายศุภชัยกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องของ กกต.ที่จะหาทางออก กกต.มีหน้าที่เผยแพร่กระบวนการและขั้นตอนการออกเสียงประชามติเท่านั้น และที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าจุลสารการออกเสียงประชามติ หรือบุ๊กเล็ต ของ กกต.มีเนื้อหาชี้นำประชาชน ก็ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการชี้นำ เนื้อหาที่จัดทำขึ้นเป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้ นายสมชัยยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม กรณีจะมีการจัดรายการสนทนาระหว่างฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ว่าทางสถานีโทรทัศน์ดังกล่าวประสงค์จะให้ฝ่ายต่างได้มาพูดคุยในเรื่องที่ประชาชนยังไม่เข้าใจ รูปแบบรายการเป็นการสนทนาไม่ใช่ดีเบต เชื่อว่าทุกฝ่ายที่มาปรารถนาดีต่อบ้านเมือง ห่วงใยต่อสถานการณ์และร่างรัฐธรรมนูญ โดยผู้ที่จะมาสนทนาอาจไม่ใช่แค่ฝ่ายที่เห็นต่าง แต่อาจเป็นคนที่รู้จริง เชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ เพื่อให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างเพียงพอต่อการตัดสินใจลงประชามติ โดย กกต.จะไม่เข้าไปเซ็นเซอร์เนื้อหา
อย่างไรก็ตาม อยากเสนอแนะไปยังสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ว่าคนที่จะมาร่วมรายการดังกล่าวควรเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมือง มีความจริงใจ ไม่ใช่เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง หรือต้องการเอาความเด่นดัง เป็นศรีธนญชัย แต่ต้องเคารพกฎเกณฑ์กติกา ไม่ใช่มีสองหน้า หน้าหนึ่งไม่รับกติกาสังคม ทำสิ่งผิดกฎหมาย ก้าวก่าย หยาบคาย ปลุกระดม ให้ข้อมูลเป็นเท็จ แต่อีกหน้าหนึ่งมาขอออกเวที ขอออกรายการอย่างนี้ตนไม่รับ
“ขณะนี้มี 2 กลุ่มที่ผมเห็นว่าเดินสองหน้า คือ กลุ่มที่เคยบอกว่ามีการเสนอใบปลิวที่เป็นเท็จ แต่ทางกลุ่มไม่ฟังและยังเดินหน้าต่อ และกลุ่มที่ 2 คือ หน่วยงานราชการหน่วยหนึ่งที่รณรงค์ด้วยข้อความที่ไม่เป็นกลาง โดยนำเสนอเอกสารที่โน้มน้าวจูงใจให้ประชาชนใช้สิทธิทางใดทางหนึ่ง ผมอยากบอกไทยพีบีเอสว่าไม่อยากให้เชิญกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน และในวันที่ 26 ก.ค.นี้ ผมจะเสนอเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.เพื่อจะขอมติ กกต.ออกหนังสือตักเตือนหน่วยงานดังกล่าว เพราะเห็นว่ามีการกระทำที่ผิดมาตรา 56 ของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ ที่หน่วยงานราชการต้องวางตัวเป็นกลาง แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุม กกต.ว่ามติจะออกมาเป็นอย่างไร อาจจะมีมติว่าไม่ออกหนังสือตักเตือน หรือออกหนังสือตักเตือนและมีการดำเนินการที่มากกว่าการตักเตือนก็ได้” นายสมชัยกล่าว
นายสมชัยยังกล่าวกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์และ กรธ.ไม่ร่วมรายการดังกล่าว ว่าถึงอย่างไรรายการก็ต้องจัดต่อไป และเท่าที่ทราบ ทางประธาน กรธ.ก็ไม่ได้ห้าม กรธ.มาร่วมรายการในนามส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่ใช่สัญญาณว่า กรธ.จะไม่เข้าร่วมเลย ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าการจัดรายการลักษณะดังกล่าวช้าเกินไป ตนก็ไม่อยากให้มองเช่นนั้น แต่ควรมองว่าคนจะสนใจในช่วงท้าย ดังนั้นช่วงโค้งสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็น่าจะเป็นอะไรที่เป็นประโยชน์
โดยสถานีโทรทัศน์ช่องอื่นก็สามารถจัดรายการลักษณะนี้ได้เช่นกัน แต่ต้องไม่ก้าวร้าว รุนแรง ปลุกระดม สำหรับกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ระบุว่าจะให้มีการจัดเวทีทั่วประเทศ ขณะนี้ กกต.ยังไมได้รับการประสานอย่างเป็นทางการ แต่ส่วนตัวเห็นว่าควรจัดเวทีในลักษณะเวทีปิด และนำเสนอผ่านสื่อเพราะจะเป็นการเผยแพร่ในวงกว้าง หากเป็นเวทีเปิดอาจจะมีคนมาร่วมน้อย สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้มีการสร้างสถานการณ์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง