“พิชัย นริพทะพันธุ์” ระบุ ประชาชนไม่มั่นใจลงทะเบียนพร้อมเพย์ เพราะไม่เชื่อใจรัฐบาล โยงละเมิดสิทธิมนุษยชน ขู่เพิ่มภาษีถ้าไม่ใช้พร้อมเพย์ รัฐจะตรวจภาษีและเก็บภาษีเพิ่มขึ้น พ่วง “ซิงเกิล เกตเวย์” คุมข้อมูลข่าวสารผ่านเน็ต มีปัญหาถูกแฮกไม่กล้าค้ำประกันความเสียหาย ไทยยังล้าหลังป้องกัน เชื่อถ้าประเทศเป็นประชาธิปไตยประชาชนมั่นใจขึ้น
วันนี้ (17 ก.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงปัญหาระบบการชำระเงิน “พร้อมเพย์” ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ร่วมกับธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ 19 แห่ง เปิดให้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า โดยหลักการแล้ว พร้อมเพย์เป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นไปตามกระแสของโลกที่จะชำระเงินผ่านบัตร และทิศทางของโลกที่จะใช้ธนบัตรน้อยลง และยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอล ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
แต่ปัญหาที่ประชาชนยังไม่มั่นใจที่จะเข้าระบบ น่าจะเกิดจากความไม่เชื่อใจ และความไม่มั่นใจในรัฐบาล เนื่องมาจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่รัฐบาลทำจนเป็นปกติ ไม่ว่าจะกับนักการเมือง นักวิชาการ นักศึกษา หรือ ประชาชน อีกทั้งเมื่อเริ่มต้นรัฐบาลยังขู่ว่าจะออกมาตรการแกมบังคับว่าจะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เท่าเดิมสำหรับผู้เข้าระบบ แต่จะเก็บ 10% สำหรับผู้ที่ไม่เข้าระบบ ซึ่งไม่น่าจะทำได้ เพราะระบบภาษีสรรพากรจะไม่สามารถรองรับภาษีมูลค่าเพิ่มสองอัตราได้
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงการที่รัฐจะตรวจภาษีและเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ซึ่งยิ่งทำให้คนระแวงสงสัย อีกทั้งหลายคนเป็นห่วงว่าจะเป็นวิธีในการตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของประชาชน และมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่โยงเรื่องนี้เข้ากับซิงเกิล เกตเวย์ (Single Gateway) ที่รัฐบาลพยายามคุมการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชน
นอกจากนี้ ปัญหาความปลอดภัยจากการถูกแฮก ที่รัฐบาลและหน่วยงานยังไม่ยอมค้ำประกันความเสียหายในเรื่องนี้อย่างเต็มที่หากมีปัญหาดังกล่าว และปัญหานี้ไม่ว่าบริษัทใหญ่ระดับโลกเก่งแค่ไหนก็มีโอกาสที่จะโดนแฮกได้ทั้งนั้น และประเทศไทยยังล้าหลังมากในการป้องกันเรื่องนี้ อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่จะมาเข้าระบบ ซึ่งคงต้องใช้เวลานานกว่าจะเรียนรู้
และที่สำคัญคือ ประชาชนจำนวนมากอาจจะเห็นว่าขนาดเรื่องใหญ่อย่างประชามติ ที่ล่าสุด ผู้แทนสหภาพอียู และคณะทูต 22 ชาติ ยังต้องออกเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเสรีในการวิพากษ์วิจารณ์ หลังจากที่ประชาคมโลกต่างก็มีข้อสงสัยในเรื่องการสืบทอดอำนาจ และในความไม่เป็นประชาธิปไตย แต่รัฐบาลกลับยืนยันว่าเป็นสากล ยิ่งตอกย้ำให้คนไม่เชื่อใจ และไม่มั่นใจมากขึ้น แถมยังมาออกมาตรา 44 ให้ กสทช. - กสท. ปิดสื่อได้ ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลแก้ไขเรื่องความไม่เชื่อใจ และไม่มั่นใจนี้ ซึ่งเชื่อว่าหากประเทศกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่รัฐบาลมาจากประชาชนแล้วประชาชนจะมีความมั่นใจในเรื่องนี้มากขึ้น