หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุ ควรปลดล็อกคำสั่ง คสช.ไฟเขียวกิจกรรมทางการเมืองเร็วที่สุด พร้อมอยากให้เริ่มต้นปฏิรูปพรรคการเมือง แต่ต้องให้โอกาสและเวลา ชี้บรรยากาศประชามติยังผิดธรรมชาติ ห่วงประชาชนใช้สิทธิน้อย เตือนรัฐบาลตั้งศูนย์รักษาความสงบช่วงประชามติ ระวังกระทบกระทั่งจนบานปลาย เชื่อแกนนำ กปปส. ยกเว้นสุเทพ ตั้งใจกลับมาทำงานการเมือง เตือนสวมหมวกกสองใบระวังวาจา เชื่ออดีตลูกหม้อ “อลงกรณ์” มีปัญหาภายใน สปท.จริงถึงโดนรุมทึ้ง
วันนี้ (7 ก.ค.) ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เสนอให้ยกเลิกคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 57/2557 เพื่อผ่อนคลายให้พรรคการเมืองสามารถทำกิจกรรมปฏิรูปพรรคการเมือง ภายหลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านการออกเสียงประชามติแล้วว่า จริงๆ ตนอยากให้ทางมีการดำเนินการปลดล็อกคำสั่งดังกล่าวโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่มีปัญหาหากจะกำหนดเงื่อนไขว่ายังจะไม่ให้ทำกิจกรรมที่กระทบต่อความมั่นคง เช่น การตั้งเวทีปราศรัยหรือกิจกรรมอื่นใด แต่อยากให้พรรคการเมืองได้เริ่มต้นในการปฏิรูป เพราะหลายเรื่องที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือ พรรคการเมืองจะต้องมีการปฏิรูปและมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าเวลาไม่พอก็ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าตามระบบแล้วพรรคการเมืองก็จะต้องมีการประชุมกัน ผลการประชุมก็ต้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรอง ก่อนที่พรรคจะสามารถปฏิบัติได้ ตรงนี้จะใช้เวลามาก ถ้าเปิดโอกาสในช่วงก่อนการเลือกตั้งนิดหน่อยแล้ว พรรคการเมืองก็ต้องมุ่งไปสู่สนามเลือกตั้ง
“ผมคิดว่าถ้าอยากจะให้พรรคการเมืองมีการปฏิรูปหลายๆ อย่าง ต้องให้โอกาสและเวลา ถ้าจะให้ทำตอนรัฐธรรมนูญเสร็จ รอกฎหมายลูกเสร็จแล้ว มันก็ทำอะไรไม่ได้ พรรคการเมืองก็ต้องเดินหน้าหาเสียงอย่างเดียว ขณะนี้บรรยากาศยังผิดธรรมชาติของการออกเสียงประชามติอยู่ ซึ่งก็ได้ย้ำเรื่องนี้ไปหลายครั้งและพยายามอยากจะให้ทำอย่างไรเพื่อให้คลายบรรยากาศนี้ไปให้ได้ เพราะจะมีปัญหาต่อไปในอนาคต แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะตีความว่า มาตรา 61 วรรคสองของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติไม่ขัดรัฐธรรมนูญชั่วคราว แต่บรรยากาศก็ยังไม่ดีขึ้น จึงเป็นห่วงเรื่องการตื่นตัวของประชาชนที่จะไปใช้สิทธิน้อยและความเข้าใจเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยของรัฐบาลจะทำให้บรรยากาศการเมืองแย่ลงหรือไม่ขึ้นอยู่กับการทำงานของรัฐบาล แต่ให้ระวังปัญหากระทบกระทั่งกันในเรื่องเล็กๆ น้อย จะกลายเป็นภาพลักษณ์ของการเมืองไทย ตนห่วงว่าหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ แต่มีการหยิบยกประเด็นนี้ต่อไปในอนาคตแล้ว ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ประเทศไทยต่อไป ก็ต้องเสียเวลามาเถียงเรื่องรัฐธรรมนูญกันอีก ทั้งที่ปัญหาปากท้องประชาชนก็ยังไมได้แก้ไข
เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับแกนนำ กปปส. เนื่องจากมีแกนนำ กปปส.บางคนมาที่พรรคบ่อยๆ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนที่ไป กปปส.ก็ยังเป็นสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ ยกเว้นผู้ที่ไปบวช ส่วนกรณีนายถาวรนั้นไม่มีการพูดเรื่องตำแหน่ง หลายคนมีความตั้งใจที่จะกลับมาทำงานการเมืองกันอยู่แล้ว ยกเว้นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ที่จะไม่กลับมา แต่ทั้งหมดอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน เรื่องการทำงานจะไม่เกี่ยวกันไม่ว่าจะเป็นพรรคหรือมูลนิธิฯ และได้บอกว่าถ้าใครสวมหมวก 2 ใบ การแสดงความเห็นต้องระมัดระวังการจะพูดในนามอะไรระวังประชาชนจะสับสน
ส่วนที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท.ถูกท้วงติงในเรื่องการทำงานจากการเดินสายพบพรรคการเมืองนั้น นายอภิสิทธิ์เชื่อว่าคงมีปัญหาภายใน สปท. ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดปัญหาเช่นนี้