ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต และ ผอ.แอมเนสตี้ไทย ยื่น 4 หมื่นรายชื่อค้าน Single Gateway และ ร่าง พ.ร.บ.คอมพ์ จี้แก้ปมจำกัดสิทธิเสรีภาพการแสดงออกและเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร ห่วงใช้อินเทอร์เน็ตไม่ปลอดภัย ขอทบทวน 3 มาตรา ด้านรองประธาน สนช.รับอยากให้เข้าไปแจง กมธ.ด้วย
วันนี้ (7 ก.ค.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. ตัวแทนเครือข่ายพลเมือง นำโดยนายอาทิตย์ สุริยะวงศ์กุล ผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองเน็ต และนางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ได้ทำกิจกรรมบริเวณหน้ารัฐสภา โดยยืนถือป้ายที่มีข้อความอาทิ “Stop Single Gateway!”, “อย่ามา สอด(แนม)”, “ม.14 หมิ่นประมาท ไม่ควรเป็นโทษอาญา” พร้อมแสดงสัญลักษณ์คัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ... จากนั้นเข้ายื่น 40,000 รายชื่อ ที่ร่วมกันรณรงค์ออนไลน์ผ่าน change.org “หยุด Single Gateway หยุดกฎหมายล้วงข้อมูลส่วนบุคคล” ต่อนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 2 โดยเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ที่มีปัญหาในแง่การจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร อีกทั้งจะรบกวนการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ปลอดภัย
นายอาทิตย์กล่าวว่า ร่างแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ เป็นหนึ่งใน “ชุดกฎหมายความมั่นคงดิจิทัล” ที่องค์กรภาคประชาชน 6 องค์กรและประชาชนมากกว่า 22,000 คน เคยเข้าชื่อเรียกร้องให้ชะลอการพิจารณา และรัฐบาลรับปากจะแก้ไขให้ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี พร้อมกับกระแสข่าวที่กระทรวงไอซีทีเสนอแนวคิด “Single Gateway” เพื่อให้ควบคุมข้อมูลจากต่างประเทศได้สะดวกขึ้น โดยร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ดังกล่าวถูกปรับปรุงแล้วส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งในวันที่ 21 เม.ย คณะรัฐมนตรีได้ลงมติเห็นชอบในวันเดียวกัน พร้อมทั้งส่งต่อให้ สนช.พิจารณาประกาศใช้เป็นกฎหมาย โดยมีมติเอกฉันท์รับหลักการ และส่งต่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างดังกล่าว ทางเครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องให้ สนช.ได้ทบทวนและแก้ไขร่างกฎหมาย 3 มาตราที่จะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยพิจาณาแก้ไขร่างมาตรา 14 ให้มีความรัดกุมชัดเจน แก้ไขร่างมาตรา 15 และ 20 ให้การออกมาตรการใดๆ ที่จะกระทบสิทธิเสรีภาพโดยทั่วไปของประชาชนจะต้องผ่านกระบวนการการพิจารณาของรัฐสภาเท่านั้น และพิจารณาตัดมาตรา 20 (4) ออกจากร่างฯ
ในขณะที่นางปิยนุชกล่าวว่า มีความกังวลอย่างยิ่งต่อเนื้อหาในบางมาตราที่อาจปิดกั้นสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกทางอิเล็กทรอนิกส์และสิทธิในความเป็นส่วนตัวของประชาชน ซึ่งควรได้รับการส่งเสริมและการคุ้มครองตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคีสิทธิที่จะมีเสรีภาพและสิทธิความเป็นส่วนตัวควรได้รับการคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ไทยเป็นประเทศภาคีมาตั้งแต่ปี 2539 หน้าที่ของทางการไทยจึงเป็นการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่การพยายามปิดกั้นอย่างที่เป็นอยู่
ด้านนายพีระศักดิ์กล่าวว่า ตนได้รับมอบหมายให้มารับหนังสือจากนายพรเพชรให้มารับหนังสือ ซึ่งก็คงจะนำไปหารือต่อประธาน สนช. และคงต้องนำเรื่องสู่เข้าที่ประชุมวิป สนช.ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ทั้งนี้จะนำข้อมูลที่ได้ไปแจกให้สมาชิกเพื่อประกอบการอภิปรายในวาระที่ 2 และ 3 พร้อมทั้งอยากให้กลุ่มพลเมืองเน็ตเข้าไปชี้แจงกับคณะกรรมาธิการที่พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้น