ทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยไล่ประชาธิปัตย์พัฒนาจิตสำนึกให้เป็นประชาธิปไตย เคารพเสียงส่วนใหญ่ก่อน สับต้นเหตุรัฐประหาร 2 ครั้ง ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ต้องรับผิดชอบทำเศรษฐกิจทรุด
วันนี้ (4 ก.ค.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวถึงแนวคิดในการเชิญชวนนักการเมืองมาหารือเกี่ยวกับทางออกของประเทศว่า หากจะมีการประชุมเพื่อหาทางออกของประเทศ สิ่งสำคัญคือพรรคประชาธิปัตย์จะต้องพัฒนาจิตสำนึกให้เป็นประชาธิปไตยและเคารพเสียงส่วนใหญ่ก่อน มิเช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะหากมองย้อนกลับไปก็จะพบว่าพรรคประชาธิปัตย์บอยคอตการเลือกตั้งถึง 2 ครั้งซึ่งนำไปสู่การรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง จนนักวิชาการหลายท่านเห็นว่าเป็นการร่วมมือกันที่จะทำให้เกิดการปฏิวัติ อีกทั้งพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เป็นรัฐบาลครั้งสุดท้ายก็เพราะไปจัดรัฐบาลกันในค่ายทหาร ใช้อำนาจพิเศษเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล แต่ก็บริหารประเทศย่ำแย่ถึงต้องแพ้การเลือกตั้งอีก ล่าสุดการที่อดีตแกนนำพรรคและแกนนำปัจจุบัน รวมถึงหัวหน้าพรรค และอดีตหัวหน้าพรรค ได้ร่วมกับ กปปส.ห้อยนกหวีดและทำการชัตดาวน์ประเทศไทย และบอยคอตการเลือกตั้งนั้นได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมาก
“ตอนนั้นหากพรรคประชาธิปัตย์ยอมลงเลือกตั้ง โอกาสที่จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก็มีสูง แต่กลับยอมเป็นเครื่องมือเพื่อนำไปสู่การยึดอำนาจ ดังนั้นจึงต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบที่ทำให้เศรษฐกิจทรุดหนักในปัจจุบัน” นายพิชัยระบุ
นายพิชัยกล่าวต่อว่า ล่าสุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังต้องอ้างถึงคำพูดของผู้นำรัฐบาลเผด็จการในการที่จะเข้าร่วมประชุมหรือไม่ ก็แสดงว่าไม่ได้มีจิตสำนึกของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แค่มุ่งหวังอำนาจเท่านั้น ที่ตนต้องออกมาพูดไม่ได้ต้องการทำลายบรรยากาศการปรองดองเพื่อให้นักการเมืองร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศ แต่เห็นว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ยังมีแนวคิดแบบเดิมไม่พัฒนาจิตสำนึกประชาธิปไตยอย่างแท้จริงก็เปล่าประโยชน์ที่จะร่วมเจรจาด้วย ทั้งนี้ แม้ว่าพรรคเพื่อไทยเองอาจจะไม่ได้ทำให้ประชาชนทั้งประเทศพอใจได้ทั้งหมด พรรคก็ต้องพิจารณาหาทางแก้ไขในอนาคต แต่ทุกอย่างที่ทำก็อยู่ในกรอบของระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้การเมืองของประเทศไทยได้พัฒนาและแก้ปัญหาได้ จึงอยากให้ประชาชนที่เป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ได้ผลักดันให้พรรคนี้พัฒนาจิตสำนึกให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และวันหนึ่งก็อาจจะชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลเองได้โดยไม่ต้องใช้อำนาจพิเศษ ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ควรจะเริ่มพิจารณาเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงตั้งแต่ระดับหัวหน้าพรรค แกนนำ และลงไปถึงสมาชิก และพรรคเพื่อไทยเองก็ต้องฟังเสียงประชาชนทุกฝ่ายให้มากขึ้น โดยเฉพาะหากฐานเสียงมีข้อเสนอแนะอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ก็ควรจะต้องรับฟังเพื่อนำมาพิจารณาพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของพรรคให้เป็นที่พึ่งของประชาชนทุกคนได้ต่อไป