สะเก็ดไฟ
ทันทีที่ศาลอังกฤษ ตัดสินสั่งยึดทรัพย์เป็นจำนวน 7.9 ล้านปอนด์ หรือราว 395 ล้านบาท จาก นายเจมส์ แม็กคอร์มิก ผู้ต้องหาคดีจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ปลอม เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าชดเชยเป็นค่าเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายที่หลงเชื่อซื้อเครื่อง GT200 นี้ไปหลายประเทศ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งมาถึงประเทศไทย
เพราะบ้านเราเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความเสียหายจากการต้มตุ๋นลวงโลกครั้งนี้ด้วย
เครื่อง GT200 ที่ว่าก็มีกลิ่นตุ ๆ มาตั้งแต่จัดซื้อครั้งแรก ตอนนั้นสังคมได้ตั้งคำถามเชิงดูถูกถึงประสิทธิภาพการทำงานของ “ไม้ชี้ผี” จะสามารถตรวจจับวัตถุระเบิด และยาเสพติด ได้อย่างที่คนขายเขาโม้ไว้หรือไม่ ทั้งที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่เจ้าหน้าที่ทหารต้องใช้ฝากผีฝากไข้ เวลาเดินฝ่าดงระเบิด พอมีคำถามก็ต้องตรวจสอบ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งทีมตรวจสอบผ่าสแกนความสามารถอย่างจริงจังว่า GT200 ดีจริง ตามที่ฝรั่งเขามโนไว้หรือไม่
วันนั้นคนมีความหวังให้เครื่อง GT200 มีประสิทธิภาพ เพราะหลายหน่วยงานในบ้านเราจ่ายเงินซื้อไปแล้วด้วยราคามโหฬาร แต่แล้วก็ชัดเจนล่อนจ้อน ผลการตรวจสอบระบุชัดว่าเครื่อง GT200 ใช้การไม่ได้ ชี้เป้าหมายวัตถุระเบิดในการทดสอบได้เพียง 4 ครั้ง จากการทดสอบทั้งหมด 20 ครั้ง สรุปมั่ว กลายเป็นของเส็งเคร็ง ฝากผีฝากไข้ไม่ได้ ถูกฝรั่งแหกตาหลอกต้ม ถ้าเอาไปใช้มีหวังคนถือคงได้กลายเป็นผีเฝ้าป่าช้า
ที่สุด นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศยกเลิกการจัดซื้อเครื่อง GT200 เพิ่มเติม พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่มีอยู่ ทบทวนว่ายังจะเอาเครื่องมือนี้ไปใช้งานอีกหรือไม่ กลายเป็นตำนาน “ไม้ล้างป่าช้า” ที่พูดกันถึงวันนี้ แต่กว่าเราจะรู้ตัวว่าถูกฝรั่งแหกตาก็สายเสียแล้ว หลายหน่วยงานสั่งซื้อกันราวกับเจ๊กตื่นทอง คิดเป็นเงินรวมทุกหน่วยงานสูงราว 600-800 ล้านบาท โอวแม่เจ้า...มากกว่าจำนวนเงินที่ศาลอังกฤษเขาสั่งอายัดไว้เพื่อชดเชยเสียอีก
ประเด็นสำคัญที่ทำให้คนในสังคมให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ เพราะหน่วยงานหลักที่มีเครื่อง GT200 ไว้ในครอบครองมากที่สุด คือ กองทัพบก ภายใต้การนำของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในตอนนี้ เพราะสมัย “บิ๊กป๊อก” เป็น ผบ.ทบ. มีหลายหน่วยงานในกองทัพจัดซื้อเครื่องมือนี้ให้แก่กำลังพล
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางแก้ไขเยียวยา และเอาคนผิดมาลงโทษ สำหรับการเยียวยาจากคำตัดสินของศาลอังกฤษ มีการยึดทรัพย์บริษัทลวงโลกต้นตอของปัญหาถือเป็นการเปิดทางไว้ จากนี้เป็นหน้าที่ของเราในการยื่นฟ้องขอแบ่งเงินเยียวยานั้นมาให้แก่ประเทศ แต่ปัญหาคือ เงินที่เขายึดไว้น้อยกว่าเงินที่เราจ่ายไป ที่สำคัญเงินก้อนนั้นประเทศผู้เสียหายยังต้องแบ่งกันอีก ตอนนี้ประเทศไทยก็ไม่มีรายชื่อในจำนวนประเทศที่จะได้รับการเยียวยา ทั้งที่เป็นผู้เสียหายด้วย พับผ่า
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จึงให้การบ้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนติบริกรรัฐบาล ไปสะสางในเรื่องนี้ เมื่อเป็นเรื่องระหว่างประเทศ คงต้องเปิดตำรากันหลายเล่ม ดูท่าเรื่องคงยาวยิ่งกว่าซีรีส์หนังชุดสงครามใต้สะดือ เราอาจได้เห็นการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันใหม่ระเบิดเถิดเทิง
งานนี้คงได้แต่รอว่า เราจะได้เงินค่าโง่ที่เสียไปกลับคืนมาหรือไม่ แต่ประเด็นที่อยากให้ดูไว้เป็นบทเรียนกัน คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศเราต้องเสียค่าโง่อะไรแบบนี้อีก เพราะทุกวันนี้เหมือนเราจะเริ่มชินชากับคำว่า ค่าโง่ กันไปแล้ว เรียกว่าโง่ซ้ำซาก โง่ดักดาน
เหนืออื่นใดนอกจากเรื่องเยียวยาทางแพ่งแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจคนไทย การซื้อไม้ล้างป่าช้าขอทานในคราบไฮโซนี้ แต่ละหน่วยงานที่ถูกฝรั่งเขาต้มเอา แอบหลับตาข้างเดียวหรือไม่ มีตุกติกหรือเปล่า คนให้คำตอบนี้ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ทำเรื่องนี้มานานหลายปีดีดัก แต่ยังไม่เสร็จเสียที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร วันนี้ก็ได้แต่ร้องเพลงรอ หวังว่า เมื่อมีกรณีคำตัดสินศาลอังกฤษมากระตุ้น เรื่องคงเร็วขึ้น ขืนยังปล่อยเนิ่นนาน หรือสรุปแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ มีหวังคนนินทาหมาดูถูก ไปถึงรุ่นลูกหลาน
รายชื่อที่อยู่ในการสอบสวนของ ป.ป.ช.แต่ละคน ก็ล้วนเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่ได้จัดซื้อเครื่อง GT 200 ไปทั้งนั้น ที่สำคัญยุคนี้ที่ คสช.โปรโมตตัวเองว่าจะเข้ามาล้างบางการทุจริต คงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จะปล่อยให้คนใกล้ชิดลอยนวล แล้วเอาแต่เดินหน้าบั่นคอล้างบางฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียวกระนั้นหรือ ไม่อายฟ้า ก็อายหมามันมั่ง
แม้รายชื่อผู้ถูกสอบสวนของ ป.ป.ช.จะไม่ถึง ผบ.ทบ. แต่คนก็อยากรู้ว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวพันถึงหัวเรือใหญ่กองทัพบกในขณะนั้นอย่าง “บิ๊กป๊อก” หรือไม่ และถ้าไปถึง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.จะกล้าทำอะไรรึเปล่า เพราะรู้กันดีว่า “บิ๊กกุ้ย” เป็นน้องรัก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ และ “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก และ นายกฯ ประยุทธ์” เป็นพี่น้องสาม ป. ที่ยิ่งใหญ่คับแผ่นดินในเวลานี้
และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไฟเขียวให้หน่วยงานตรวจสอบการใช้เงินภาครัฐอย่าง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเรื่องนี้เต็มที่ พร้อมส่งต่อไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เดินหน้าลุยเรื่องนี้แล้ว แต่คำถามยังอยู่ที่ประเด็นเดิมว่าจะลุยทะลวงทวารกันแค่ไหน หรือแค่ตบตูดเบาะๆ ให้แค่เจ็บระคนหวาดเสียว เพราะท่าทีล่าสุดที่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง.ออกมาพูดกับสื่อ ออกแนวขึงขังเหมือนเสือติดสัด คำรามลั่นติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะมีคำตัดสินของศาลอังกฤษเสียอีก ทั้งยังคุยโวแนะนำให้ส่วนราชการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย กระนั้นท่าทีขึงขังดังว่าก็เป็นการขึงขังเงื้อดาบฟันเอกชนฝ่ายเดียว เพราะข้อมูลตามพยานหลักฐานของ สตง. เชื่อได้ว่าการจัดซื้อไม้ล้างป่าช้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฝรั่งที่นำมาขายมีความสามารถในการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงว่าของที่นำมามีประสิทธิภาพจริง หากมีไว้ใช้งานของเจ้าหน้าที่จะสะดวกโยธิน
หมายความว่า ข้าราชการของเราซื้อไปด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรที่ทำให้สงสัย จึงไม่มีการดำเนินการใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ แบบนี้ไม่ต่างจากเอาควายมาไถนา เดินไปผิดทางก็ไม่ผิด เอาเท้าตบๆ ให้มาเข้าเส้นทางใหม่
ถ้าบทสรุปเป็นแบบนี้แล้ว คนไทยทั้งชาติจะฝากผีฝากไข้ให้ข้าราชการทั้งประเทศขับเคลื่อนชาติให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ถ้าต้องเสียค่าโง่กันบ่อยๆ สุดท้ายประเทศพัฒนาช้า เหตผลสำคัญคืออะไร คงรู้กันแล้วมั้ง!
ทันทีที่ศาลอังกฤษ ตัดสินสั่งยึดทรัพย์เป็นจำนวน 7.9 ล้านปอนด์ หรือราว 395 ล้านบาท จาก นายเจมส์ แม็กคอร์มิก ผู้ต้องหาคดีจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ปลอม เพื่อนำเงินมาจ่ายค่าชดเชยเป็นค่าเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายที่หลงเชื่อซื้อเครื่อง GT200 นี้ไปหลายประเทศ ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งมาถึงประเทศไทย
เพราะบ้านเราเองก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความเสียหายจากการต้มตุ๋นลวงโลกครั้งนี้ด้วย
เครื่อง GT200 ที่ว่าก็มีกลิ่นตุ ๆ มาตั้งแต่จัดซื้อครั้งแรก ตอนนั้นสังคมได้ตั้งคำถามเชิงดูถูกถึงประสิทธิภาพการทำงานของ “ไม้ชี้ผี” จะสามารถตรวจจับวัตถุระเบิด และยาเสพติด ได้อย่างที่คนขายเขาโม้ไว้หรือไม่ ทั้งที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่เจ้าหน้าที่ทหารต้องใช้ฝากผีฝากไข้ เวลาเดินฝ่าดงระเบิด พอมีคำถามก็ต้องตรวจสอบ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สั่งการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งทีมตรวจสอบผ่าสแกนความสามารถอย่างจริงจังว่า GT200 ดีจริง ตามที่ฝรั่งเขามโนไว้หรือไม่
วันนั้นคนมีความหวังให้เครื่อง GT200 มีประสิทธิภาพ เพราะหลายหน่วยงานในบ้านเราจ่ายเงินซื้อไปแล้วด้วยราคามโหฬาร แต่แล้วก็ชัดเจนล่อนจ้อน ผลการตรวจสอบระบุชัดว่าเครื่อง GT200 ใช้การไม่ได้ ชี้เป้าหมายวัตถุระเบิดในการทดสอบได้เพียง 4 ครั้ง จากการทดสอบทั้งหมด 20 ครั้ง สรุปมั่ว กลายเป็นของเส็งเคร็ง ฝากผีฝากไข้ไม่ได้ ถูกฝรั่งแหกตาหลอกต้ม ถ้าเอาไปใช้มีหวังคนถือคงได้กลายเป็นผีเฝ้าป่าช้า
ที่สุด นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศยกเลิกการจัดซื้อเครื่อง GT200 เพิ่มเติม พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่มีอยู่ ทบทวนว่ายังจะเอาเครื่องมือนี้ไปใช้งานอีกหรือไม่ กลายเป็นตำนาน “ไม้ล้างป่าช้า” ที่พูดกันถึงวันนี้ แต่กว่าเราจะรู้ตัวว่าถูกฝรั่งแหกตาก็สายเสียแล้ว หลายหน่วยงานสั่งซื้อกันราวกับเจ๊กตื่นทอง คิดเป็นเงินรวมทุกหน่วยงานสูงราว 600-800 ล้านบาท โอวแม่เจ้า...มากกว่าจำนวนเงินที่ศาลอังกฤษเขาสั่งอายัดไว้เพื่อชดเชยเสียอีก
ประเด็นสำคัญที่ทำให้คนในสังคมให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ เพราะหน่วยงานหลักที่มีเครื่อง GT200 ไว้ในครอบครองมากที่สุด คือ กองทัพบก ภายใต้การนำของ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในตอนนี้ เพราะสมัย “บิ๊กป๊อก” เป็น ผบ.ทบ. มีหลายหน่วยงานในกองทัพจัดซื้อเครื่องมือนี้ให้แก่กำลังพล
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นแล้วก็ต้องหาทางแก้ไขเยียวยา และเอาคนผิดมาลงโทษ สำหรับการเยียวยาจากคำตัดสินของศาลอังกฤษ มีการยึดทรัพย์บริษัทลวงโลกต้นตอของปัญหาถือเป็นการเปิดทางไว้ จากนี้เป็นหน้าที่ของเราในการยื่นฟ้องขอแบ่งเงินเยียวยานั้นมาให้แก่ประเทศ แต่ปัญหาคือ เงินที่เขายึดไว้น้อยกว่าเงินที่เราจ่ายไป ที่สำคัญเงินก้อนนั้นประเทศผู้เสียหายยังต้องแบ่งกันอีก ตอนนี้ประเทศไทยก็ไม่มีรายชื่อในจำนวนประเทศที่จะได้รับการเยียวยา ทั้งที่เป็นผู้เสียหายด้วย พับผ่า
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. จึงให้การบ้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เนติบริกรรัฐบาล ไปสะสางในเรื่องนี้ เมื่อเป็นเรื่องระหว่างประเทศ คงต้องเปิดตำรากันหลายเล่ม ดูท่าเรื่องคงยาวยิ่งกว่าซีรีส์หนังชุดสงครามใต้สะดือ เราอาจได้เห็นการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกันใหม่ระเบิดเถิดเทิง
งานนี้คงได้แต่รอว่า เราจะได้เงินค่าโง่ที่เสียไปกลับคืนมาหรือไม่ แต่ประเด็นที่อยากให้ดูไว้เป็นบทเรียนกัน คือ จะทำอย่างไรไม่ให้ประเทศเราต้องเสียค่าโง่อะไรแบบนี้อีก เพราะทุกวันนี้เหมือนเราจะเริ่มชินชากับคำว่า ค่าโง่ กันไปแล้ว เรียกว่าโง่ซ้ำซาก โง่ดักดาน
เหนืออื่นใดนอกจากเรื่องเยียวยาทางแพ่งแล้ว สิ่งที่ค้างคาใจคนไทย การซื้อไม้ล้างป่าช้าขอทานในคราบไฮโซนี้ แต่ละหน่วยงานที่ถูกฝรั่งเขาต้มเอา แอบหลับตาข้างเดียวหรือไม่ มีตุกติกหรือเปล่า คนให้คำตอบนี้ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ทำเรื่องนี้มานานหลายปีดีดัก แต่ยังไม่เสร็จเสียที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร วันนี้ก็ได้แต่ร้องเพลงรอ หวังว่า เมื่อมีกรณีคำตัดสินศาลอังกฤษมากระตุ้น เรื่องคงเร็วขึ้น ขืนยังปล่อยเนิ่นนาน หรือสรุปแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ มีหวังคนนินทาหมาดูถูก ไปถึงรุ่นลูกหลาน
รายชื่อที่อยู่ในการสอบสวนของ ป.ป.ช.แต่ละคน ก็ล้วนเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่ได้จัดซื้อเครื่อง GT 200 ไปทั้งนั้น ที่สำคัญยุคนี้ที่ คสช.โปรโมตตัวเองว่าจะเข้ามาล้างบางการทุจริต คงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง จะปล่อยให้คนใกล้ชิดลอยนวล แล้วเอาแต่เดินหน้าบั่นคอล้างบางฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียวกระนั้นหรือ ไม่อายฟ้า ก็อายหมามันมั่ง
แม้รายชื่อผู้ถูกสอบสวนของ ป.ป.ช.จะไม่ถึง ผบ.ทบ. แต่คนก็อยากรู้ว่า เรื่องนี้จะเกี่ยวพันถึงหัวเรือใหญ่กองทัพบกในขณะนั้นอย่าง “บิ๊กป๊อก” หรือไม่ และถ้าไปถึง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.จะกล้าทำอะไรรึเปล่า เพราะรู้กันดีว่า “บิ๊กกุ้ย” เป็นน้องรัก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ และ “บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก และ นายกฯ ประยุทธ์” เป็นพี่น้องสาม ป. ที่ยิ่งใหญ่คับแผ่นดินในเวลานี้
และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไฟเขียวให้หน่วยงานตรวจสอบการใช้เงินภาครัฐอย่าง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบเรื่องนี้เต็มที่ พร้อมส่งต่อไปยังศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) เดินหน้าลุยเรื่องนี้แล้ว แต่คำถามยังอยู่ที่ประเด็นเดิมว่าจะลุยทะลวงทวารกันแค่ไหน หรือแค่ตบตูดเบาะๆ ให้แค่เจ็บระคนหวาดเสียว เพราะท่าทีล่าสุดที่ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการ สตง.ออกมาพูดกับสื่อ ออกแนวขึงขังเหมือนเสือติดสัด คำรามลั่นติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ก่อนที่จะมีคำตัดสินของศาลอังกฤษเสียอีก ทั้งยังคุยโวแนะนำให้ส่วนราชการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายไปก่อนหน้านี้แล้วด้วย กระนั้นท่าทีขึงขังดังว่าก็เป็นการขึงขังเงื้อดาบฟันเอกชนฝ่ายเดียว เพราะข้อมูลตามพยานหลักฐานของ สตง. เชื่อได้ว่าการจัดซื้อไม้ล้างป่าช้าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฝรั่งที่นำมาขายมีความสามารถในการโฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงว่าของที่นำมามีประสิทธิภาพจริง หากมีไว้ใช้งานของเจ้าหน้าที่จะสะดวกโยธิน
หมายความว่า ข้าราชการของเราซื้อไปด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรที่ทำให้สงสัย จึงไม่มีการดำเนินการใดๆ ต่อเจ้าหน้าที่ในขณะนี้ แบบนี้ไม่ต่างจากเอาควายมาไถนา เดินไปผิดทางก็ไม่ผิด เอาเท้าตบๆ ให้มาเข้าเส้นทางใหม่
ถ้าบทสรุปเป็นแบบนี้แล้ว คนไทยทั้งชาติจะฝากผีฝากไข้ให้ข้าราชการทั้งประเทศขับเคลื่อนชาติให้เดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ถ้าต้องเสียค่าโง่กันบ่อยๆ สุดท้ายประเทศพัฒนาช้า เหตผลสำคัญคืออะไร คงรู้กันแล้วมั้ง!