รมต.ประจำสำนักนายกฯ มอบ พศ.ทำงานร่วมคณะสงฆ์ธรรมกาย ดีเอสไอแก้ปัญหา “ธัมมชโย” เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง คาดสัปดาห์หน้าชัดเจน ระบุสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นโอกาสในการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา โดย พศ.ต้องขับเคลื่อน
นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ปัญหาวัดพระธรรมกาย ว่า ได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทำงานร่วมกับคณะสงฆ์วัดพระธรรมกาย และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพราะต้องการให้ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด บนพื้นฐานของกฎหมายและข้อเท็จจริง และไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งเข้าใจผิดเพิ่มเติม ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ยึดหลักกฎหมาย ไม่มีอคติต่อฝ่ายใด
“เรื่องนี้ยิ่งปล่อยให้เนิ่นนานออกไปก็จะส่งผลกระทบต่อทุกฝ่าย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ การแสวงประโยชน์จะไม่สิ้นสุด ผมไม่อยากเห็นผลกระทบขยายตัวไปมากกว่านี้ และที่ผ่านมาได้หารือกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติอยู่เป็นประจำ แนะนำอะไรได้ก็แนะนำไปตลอด ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี ละเอียดรอบคอบ ดูทุกปัจจัยเกี่ยวข้อง ซึ่งทราบว่าแนวโน้มการแก้ไขปัญหาดีขึ้นพอสมควร และหวังว่าสัปดาห์จะมีความชัดเจน”
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า คณะสงฆ์โดยเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีได้เมตตาเข้ามาช่วยพูดคุย และลดความไม่เชื่อใจระหว่างกัน ส่วนพระมหาเถระก็ให้คำปรึกษา ดังนั้นจะเห็นว่าทุกฝ่ายกำลังทำงานกันอยู่ เมื่อวานนี้ก็มีการประชุมหารือกันซึ่งรายละเอียดตนอยากให้ทุกฝ่ายไปทำงานกันต่อ อย่าเพิ่งให้พูดอะไร ประเด็นสำคัญที่เห็นในขณะนี้อยู่ที่ความไม่ไว้วางใจต่อกัน
“รัฐบาลยืนยันได้ว่ายึดหลักความถูกต้อง ข้อกฎหมาย ไม่มีอคติในการดำเนินการ ทุกฝ่ายก็ควรลดท่าทีที่ไม่วางใจกัน ทำให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ ลดมาตรการ ลดกิจกรรม ที่อาจทำให้เกิดคำถาม ถ้าทำได้ หนทางแก้ไขปัญหาที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมก็น่าจะเกิดขึ้นได้ อาจถูกใจหรือไม่ถูกใจของแต่ละฝ่าย แต่ทุกฝ่ายได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สิ่งนี้สำคัญต่อสังคมเรา”
นายสุวพันธุ์กล่าวอีกว่า ไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นวิกฤตเพียงด้านเดียว แต่เห็นว่าเรื่องนี้เป็นโอกาส เพราะเกิดบทเรียนสำคัญแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในเรื่องการบริหารจัดการผลประโยชน์ของวัด ทำอย่างไรจะให้ถูกข้อกฎหมาย เป็นไปตามหลักพระธรรมวินัย และทำให้ญาติโยมเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ถ้าเราเห็นตรงกันว่าหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ทางลบ ถ้าเห็นว่าไม่ควรให้เกิดขึ้นต่อไปก็ต้องสร้างระบบใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมขึ้นมา
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องขับเคลื่อนต่อไป การปฏิรูปทุกเรื่องจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลสัมฤทธิ์ได้เร็ว จะต้องเกิดจากภายในองค์กรนั้นเป็นหลัก สมาชิกขององค์กรพร้อมใจกัน ทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้ แรงกดดันจากภายนอกไม่อาจทำให้การปฏิรูปสัมฤทธิผลได้อย่างสมบูรณ์ ก็หวังว่าเมื่อมรสุมผ่านไป สิ่งดีๆ จะถูกนำกลับมาให้สังคมได้เห็นมากขึ้นๆ