“คำนูณ” ดึงสติคนไทย “บุญเป็นสินค้า” สังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ยกวิทยานิพนธ์อ้างอิง “พระพรหมคุณาภรณ์” ยันธรรมกายบิดเบือนพระพุทธธรรมคำสอน เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก ยิงคำถามมหาเถรสมาคม-สำนักพุทธฯ ทำอะไรบ้าง? หนุนรัฐใช้เวลาที่เหลือปฏิรูป
วันนี้ (4 มิ.ย.) เวลา 07.00 น. นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kamnoon Sidhisamarn ตอกย้ำให้เห็นถึงความผิดเพี้ยนในแนวทางปฏิบัติของวัดพระธรรมกาย ว่า
“กรณีหมายจับพระรูปหนึ่งที่เสมือนเป็นเจ้าแห่งลัทธิการตลาดการ (พุทธ) ศาสนาเป็นปลายเหตุ ต้นเหตุ หรือ สมุฏฐาน คือ คำสอนและวิธีการสอน รวมทั้งระบบการเผยแพร่ทั้งหมดของสำนักนี้ที่ผิดเพี้ยนไปจากพุทธศาสนาเถรวาทที่เคยสอน และถือปฏิบัติกันมาในประเทศนี้ เมื่อกลัดกระดุมเม็ดแรกเป็นหลักไว้เสียแล้วว่าบุญเป็นสินค้าที่ซื้อหามาได้เพื่อหวังผลกำไรคือความร่ำรวยและชีวิตที่ดีกว่าในภพหน้า กระดุมเม็ดต่อไป หรือคำสอนรวมทั้งวัตรปฏิบัติและวืถีอื่นๆ ก็จะผิดเพี้ยนตามกันไปหมด อาทิ มีเงินไม่พอลงทุนซื้อบุญก็ผ่อนส่งเป็นงวดๆ ได้ หรือกู้เงินมาลงทุนได้ ปฏิบัติธรรมไม่ต้องหวังการหลุดพ้นเหมือนที่สอนกันมาแล้วแต่หวังร่ำรวยหวังสวรรค์ชั้นสูงๆ ไว้ก่อน ที่สุดก็เกิดกระดุมเม็ดที่เป็นคดีสหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่นขึ้นมาเป็นแหล่งกู้เงินไปลงทุนในบุญให้แก่ผู้ปรารถนาผลกำไรเป็นสวรรค์ชั้นสูงๆ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นแหล่งระดมทุนเพื่อพัฒนาสำนักให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปให้เป็นศูนย์กลางของโลก
สังคมไทยเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ทั้งๆ ที่สมเด็จพระสังฆราชประมุขคณะสงฆ์ไทยทรงวินิจฉัยไว้ในพระลิขิตฉบับวันที่ 26 เมษายน 2542 แล้ว
“...ความบิดเบือนพระพุทธธรรมคำทรงสอน โดยกล่าวหาว่าพระไตรปิฎกบกพร่อง เป็นการทำให้สงฆ์ที่หลงเชื่อคำบิดเบือนแตกแยกออกไป กลายเป็นสอง มีความเข้าใจความเชื่อถือพระพุทธศาสนาตรงกันข้าม เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา ทำสงฆ์ให้แตกแยก เป็นอนันตริยกรรม มีโทษทั้งปัจจุบัน และอนาคต ที่หนัก”
พระพรหมคุณาภรณ์เขียนหนังสือไว้ตั้งแต่ปี 2542 แล้วเช่นกัน โดย พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี สรุปความไว้ในวิทยานิพนธ์หลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อเดือนเมษายน 2546 ว่า
“การประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยเฉพาะประเด็นหลัก ได้แก่ การพยายามนำเอาลัทธิทุนนิยมที่มีความโดดเด่นอยู่ที่ระบบการตลาดเข้ามาผสมผสานกับการบริหารจัดการวัด การจัดตั้งองค์กร รวมทั้งการระดมทุนและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รวมทั้งการสร้างความสัมพันธ์กับบุคคล องค์กรทางธุรกิจ การเมือง และการศาสนาทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งการทำเช่นนี้ส่งผลให้สำนักฯกลายเป็นสำนักที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งในทางวัตถุ ทุนทรัพย์ และในทางเกียรติคุณชื่อเสียง แต่วิธีเหล่านี้เป็นพฤติการณ์ที่สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เน้นความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติชนิดที่ปราศจากการจัดตั้ง หรือการจัดการ และไม่เกี่ยวข้องกับระบบทุนนิยม (รวมทั้งวัตถุนิยม) อย่างสิ้นเชิง”
“พฤติการณ์ทั้งหมดนั้นเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของพระพุทธศาสนาและต่อสังคมไทยอย่างลึกซึ้งถึงรากฐาน ชนิดที่ว่าถ้าทำสำเร็จตามจุดมุ่งหมายที่สำนักตั้งเอาไว้ ก็จะส่งผลให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยซึ่งเป็นพระพุทธศาสนาอย่างเถรวาทต้องสูญสิ้นอันตรธานไป และสังคมไทยก็อาจกลายเป็นสังคมที่มีค่านิยมหวังผลดลบันดาลเชื่อมั่นศรัทธาในเทพเจ้า ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มัวเมาอยู่ในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ และถูกหลอกให้เพลินจมอยู่ในสุขอันดื่มด่ำจากสมาธิวิธีที่ถือว่าเป็นมิจฉาสมาธิและเต็มไปด้วยผู้คนที่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม บริโภคนิยม และวัตถุนิยมอย่างงมงาย ไม่อาจหลุดพ้นเป็นอิสระไปจากการครอบงำของลัทธิเหล่านี้ได้”
เหล่านี้คือข้อวิพากษ์จากปราชญ์ฝ่ายสงฆ์ที่อุกฉกรรจ์มาก
คำถามคือ มหาเถรสมาคม องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ไทยตามกฎหมายปี 2505 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2535 ทำอะไรให้กระจ่างบ้างในรอบ 15 ปีมานี้?
คำถามคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการนี้ ทำอะไรบ้าง ??
คำถามคือรัฐบาลทำอะไร???
คำถามสุดท้ายมีคำตอบในระดับหนึ่ง เมื่ออัยการสูงสุดในยุครัฐบาลเจ้าแห่งลัทธิการตลาดทางการเมืองมีคำสั่งถอนคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ของพระรูปนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2549 ก่อนที่ศาลอาญาจะมีคำพิพากษา ทำให้เรื่องที่ควรจะมีข้อสรุปในระดับหนึ่งยังคงยืดเยื้อต่อมา
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ 10 ปีเต็ม เราได้เห็นภาพอย่างที่ได้เห็น
อีเวนต์ธุดงค์กลางเมือง!
อีเวนต์ตักบาตรทั่วประเทศ!
อีเวนต์ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการเกณฑ์เด็กมาปฏิบัติธรรมเป็นแสน!
ฯลฯ
และปรากฏการณ์ล่าสุดที่ไม่ต้องบรรยายให้มากความ คำถามคือรัฐบาลชุดปัจจุบัน และคสช. ผู้ยังคงความเป็นรัฏฐาธิปัตย์โดยถืออำนาจเด็ดขาดตามมาตรา 44 ไว้ จะทำอะไรภายในระยะเวลาที่เหลืออยู่อีกปีเศษๆ?
นี่คือโจทย์การปฏิรูปประเทศไทยแห่งยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดข้อหนึ่ง! คนไทยพร้อมสนับสนุนเต็มที่”