นายกฯ ให้หน่วยงานด้านความมั่นคงดูแลวัดพระธรรมกาย ห่วงจะซ้ำรอยเหตุการณ์ปี 2553 มีคนแทรกแซงจนเกิดเหตุรุนแรง ตอกพวกที่บอกคดี “ธัมมชโย” เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่ควรจะเข้มงวด พูดจาเลอะเทอะ ชี้ไม่ว่าคดีเล็กหรือใหญ่ ถ้าผิดก็ต้องดำเนินการ เดี๋ยวจะถูกลากไปเหมือนพวกหนีคดีอยู่ต่างประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการพบการ์ดกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่วัดพระธรรมกาย ว่าตนได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงไปดูแล้ว แต่ไม่ใช่เวลาที่จะต้องให้ตนเข้าไปก้าวล่วงผ่านในวัดพระธรรมกาย อย่างไรก็ตามขณะนี้ก็มีการเข้าออกกันไม่ได้อยู่แล้ว พระก็ไปไหนไมได้ เพราะท่านทำของท่านเอง
“เราไม่ได้ไปห้าม แต่ในเมื่อไม่มารายงานตัวก็ไปไหนไม่ได้ ขอร้องว่าอย่าไปฟังโลกโซเชียลฯ มากนักว่าพระธัมมชโยจะอยู่หรือไม่อยู่ในวัด ถึงวันนี้ยังไม่มีรายงานเข้ามาว่าท่านหนีออกไปไหน แต่ถ้าจะหนีคงหนีออกไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะตอนนี้ไม่เห็นมีใครออกมาได้ ก็เห็นพระท่านสวดมนต์สวดพรกันอยู่ ยืนยันว่า ผมไม่ได้ไปคุมอะไรเลย เพียงแต่ผมต้องหามาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ในส่วนของ นปช.ก็ต้องดูว่าเขาผิดหรือเปล่า เป็นผู้ร้ายหรือเปล่า เพราะถ้าไม่เป็นผู้ร้าย เป็นแค่ นปช.ก็เป็น นปช. ผมไม่ได้ไปรังเกียจอะไรเขา แต่ถ้าพกปืนเข้าออกก็ไม่ได้ ต้องถูกจับ”
“ผมได้สั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงไปหามาตรการในการควบคุมการเข้าออกว่าจะทำอย่างไรทั้งเรื่องการตรวจค้นอาวุธต่างๆ ให้ได้ก่อน เราต้องดูแลให้ประชาชนมีความปลอดภัย ทางวัดพระธรรมกายเล่นตั้งด่านตรวจความปลอดภัยบริเวณด้านใน เราจะไม่ไปดูแลเลยหรือ ผมก็กลัวว่าจะมีคนอื่นเข้ามาแทรกแซง เข้าไปข้างในและป้ายความผิดมาที่ผมอีก จึงต้องมีการเตรียมตัวทั้งหมด เจ้าหน้าที่ทั้งหมดก็ห้ามพกปืน และอาวุธในบริเวณนั้น เราไม่อยากให้ใครไปทำให้เกิดเหตุลุกลามบานปลายเหมือนปี 2553 อีก ขอให้ทุกฝ่ายคิดถึงตรงนั้น ความน่ากลัวมันถึงตรงนั้น ผมไม่ได้กลัวเขา แต่ผมห่วงประชาชนที่นั่งสวดมนต์อยู่ 2-3 พันคน ถ้าได้รับอันตรายเพียงคนเดียว ใครจะเสียใจ พุทธศาสนาจะเสียหายหรือไม่ ขอฝากไปถึงคนที่ต่อสู้ในวิธีการที่ไม่ถูกต้อง กฎหมู่มันอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ ถ้ารัฐบาลต้องการกู้สถานการณ์ก็ต้องทำอย่างที่ผมทำ ถ้าปล่อยปละละเลยก็จะเป็นเหมือนเดิม เดี๋ยวก็เกิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ขึ้นมา เกิดปัญหาประชามติ พระก็เกิดปัญหา”
“วันนี้เราสามารถผ่อนคลายไปได้มากแล้ว และไม่ใช่ผ่อนคลายเพราะมีแรงกดดัน แต่ผมดูแล้วว่าเรื่องไหนที่พอจะลดลงได้บ้างผมก็ลดให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะยกเลิกให้ทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์ยังไม่เดินไปสู่ความปลอดภัย 100% อย่างที่ทุกคนต้องการ ขอให้นึกถึงคนอื่นบ้าง ถ้าเราไปมัวให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ เรื่องของบุคคล เรื่องของกฎหมายต่อการกระทำความผิด เป็นบุคคลเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ทำให้ทุกคนทั้งประเทศเดือดร้อน ทำให้ต่างชาติกลับมามองประเทศไทยในเชิงเสียหาย มันจะใช่หรือไม่ เท่ากับทุกคนกลายเป็นเครื่องมือให้เขา”
“ถ้าคดีนี้เราไม่ทำอะไรเลย ไม่ไปตรวจสอบ ไม่ให้มาสอบสวนก็จะถูกลากไปสู่คดีเดิมที่เขาหนีคดีกันอยู่ แกนนำบางคนออกมาพูดว่าคดีเล็กน้อยไม่เห็นจะต้องมาเข้มงวด นี่แสดงว่าเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกันหมดใช่หรือไม่ กฎหมายไม่ได้บัญญัติความแตกต่างว่าทำผิดน้อยหรือผิดมาก กฎหมายเขียนไว้ว่าผิดก็คือผิด แล้วให้มาต่อสู้คดี ไม่เช่นนั้นก็จะไปสู่คดีที่หนีออกไปต่างประเทศจากเรื่องขายที่ขายทาง เล็กๆ ที่นิดเดียว เขาต้องการอย่างนั้นยังไปทำตามเขาอีก”