สนช.ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา รับฟังปัญหาประชาชน พร้อมแจงคำถามพ่วง “กล้านรงค์” ระบุ 3 คีย์เวิร์ด คำถามพ่วงทำไม ส.ว.ต้อง 5 ปี และเปิดช่องเลือกนายกฯได้ ด้าน กกต.กทม.เผยมอนิเตอร์เหตุการณ์ทุกวันช่วงประชามติ รับงานหนัก เหตุเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางแสดงความเห็น
ที่ห้องประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จ.ฉะเชิงเทรา วันนี้ (28 พ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นำโดยนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 พร้อมด้วยสมาชิก สนช. อาทิ นายกล้านรงค์ จันทิก พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร พล.อ.อ.ชาลี จันทร์เรือง พล.อ.ดนัย มีชูเวท พล.ท.ชัยยุทธ พร้อมสุข นายนิพนธ์ นราพิทักษ์กุล เป็นต้น รวมไปถึง นายคำนูณ สิทธิสมาน ตัวแทนสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และนายไพโรจน์ อาจรักษา ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมลงพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา ตามโครงการ “สนช.พบประชาชน” เพื่อรับฟังปัญหาและชี้แจงประชาสัมพันธ์คำถามพ่วงประชามติให้แก่ตัวแทนจากทั้งส่วนราชการรวมไปถึงประชาชนในพื้นที่ โดยมีนายอนุกูล ตังคณานุกูลชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราให้การต้อนรับ
นายพีระศักดิ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมา สนช.ลงพื้นที่พบประชาชนโดยไม่เลือกว่าเป็นพื้นที่ว่าเป็นของใคร ไม่กลัวว่าจะเป็นสีไหน พรรคไหน อย่างในภาคอีสานที่ จ.บึงกาฬ และ จ.หนองคาย เราก็ไปมาแล้ว หรือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เราก็ไม่หวั่นไหว จ.นราธิวาส จ.ยะลาก็ไปมาแล้ว ก่อนจะลงพื้นที่ไม่ถึงสัปดาห์มีเกิดเหตุระเบิดต้อนรับเพื่อเช็กว่า สนช.ชุดนี้ใจกล้าหรือไม่ แต่เราก็ไป เพราะ สนช.ไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน และได้เห็นปัญหาเยอะแยะนำกลับมาแก้ไขโดยสวัสดิภาพ ซึ่งทุกเวทีที่ผ่านมา เรารับปัญหามาเกือบ 5,000 ปัญหา ขณะนี้เหลืออยู่ร้อยกว่าปัญหายังแก้ไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้ สนช.จัดชุดอนุกรรมาธิการเกาะติด ติดตามผล แบ่งโซนเป็นภาคๆ หวังว่าความตั้งใจเป็นสะพานเชื่อมคงได้รับความร่วมมือ ทำงานจนเกิดผลสำเร็จให้ได้
ต่อมาในช่วงเปิดเวทีให้ประชาชนสะท้อนปัญหา นายชวลิต หงอเทียด ผู้ประสานงานเครือข่ายภาคประชาชน จ.ฉะเชิงเทรา และจ.ชลบุรี ได้ลุกขึ้นกล่าวถึงปัญหาแม่น้ำบางปะกงตื้นเขิน สืบเนื่องจากน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 มีการผันน้ำ จากแม่น้ำเจ้าพระยา มาลงที่แม่น้ำบางประกง ทำให้แม่น้ำมีตะกอนตกค้างจำนวนมาก กระทบต่อกลุ่มผู้เลี้ยงปลากะพง มีปัญหาน้ำประปา ทั้งเค็ม ทั้งขุ่น ทั้งเหม็น เนื่องจากขาดแหล่งน้ำดิบ หากเป็นไปได้ อยากให้ สนช.ช่วยประสานงานหาแหล่งน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่มีคุณภาพ รวมถึงอยากให้ขยายถนนเส้นบางปะกง ไปคลองด่านเพิ่ม เพราะขณะนี้มีเพียงเลนเดียว เพื่อแก้ปัญหารถสิบล้อที่วิ่งหนาแน่นมาก และมีอุบัติเหตุรถสิบล้อเฉี่ยวชนนักเรียนได้รับบาดเจ็บ
“อยากได้ถนนที่มีคุณภาพใช้ได้นานๆ ไม่ใช่สร้างมาไม่นานก็พังเหมือนก่อน อีกปัญหาค้างคาใจ อยากฝากถึงผู้ดูแลเรื่องพลังงาน เราไม่ได้ค้านไม่ให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินพนมสารคาม แต่ขอให้เปลี่ยนพื้นที่การตั้ง เพราะโครงการที่สร้างใกล้กับโครงการพระราชดำริเขาหินซ้อน กระทบความชาวสวนในพื้นที่”
ทั้งนี้ นายกล้านรงค์ จันทิก สมาชิก สนช.ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการสามัญพิจารณาศึกษา เสนอแนะ และรวบรวมความเห็น เพื่อประกอบการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ชี้แจงเหตุผลความจำเป็นของการมีคำถามพ่วงประชามติ ว่าวันที่ 7 สิงหาคม เป็นวันสำคัญที่ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์จะลงประชามติเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ส่วนเหตุที่ต้องมีคำถามพ่วง เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 กำหนดว่าเมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ดำเนินการเสร็จก็ให้ สนช. พิจารณาเพื่อเสนอประเด็นคำถามอื่นได้ไม่เกิน 1 ประเด็น ซึ่ง สนช.มีมติเห็นชอบให้ตั้งคำถามพ่วงว่า เพื่อให้การปฏิรูปประเทศต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ สมควรกำหนดในบทเฉพาะกาล ว่าระหว่าง 5 ปีแรกนับตั้งแต่มีรัฐสภาชุดแรก ให้ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาเป็นผู้ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
นายกล้านรงค์กล่าวต่อว่า ซึ่งในคำถามมีคำหลักอยู่ 3 คำ ได้แก่ 1. ยุทธศาสตร์ชาติ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยไม่เคยมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ แต่เป็นไปตามวาระรัฐบาลแต่ละชุด 2. ระยะเวลา 5 ปี เพราะอายุของวุฒิสภากำหนดไว้ 5 ปี จึงเอามาเป็นตัวหลัก และรัฐสภาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี เพราะตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติ มาตรา 270 เขียนอำนาจหน้าที่ ส.ว.ที่มีมากกว่ารัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มา นั่นคือหน้าที่ในการติดตามเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และยุทธศาสตร์ชาติ โดยให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รายงานความคืบหน้างานปฏิรูปทุก 3 เดือน ดังนั้น บุคคลที่เป็นนายกฯจึงมีความสำคัญในการทำยุทธศาสตร์ชาติให้เดินหน้า ทั้งนี้ ยืนยันว่าทั้ง 2 คำถามไม่เกี่ยวพันกัน ประชาชนมีสิทธิที่จะเห็นชอบทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ไม่เห็นชอบร่างแต่เห็นชอบคำถามพ่วง หรือไม่เห็นชอบทั้ง 2 คำถามก็ได้
ด้านความเคลื่อนไหวในกรุงเทพฯ นายอนุชิต ปราสาททอง ผู้อำนวยการการเลือกกตั้งประจำกรุงเทพมหานคร (ผอ.กต.กทม.) กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมและในการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ว่า กกต.กทม.ได้เตรียมการในเบื้องต้นไว้หมดแล้ว โดยได้ประสานกับหน่วยงานของกทม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในช่วงรอที่จะให้มีการแต่งตั้งกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง รวมทั้งการกำหนดพื้นที่ของหน่วยเลือกตั้ง ที่ต้องรอการประกาศบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิออกเสียง ส่วนเรื่องการป้องกันการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 กกต.กทม.ได้ให้ฝ่ายสืบสวนสอบสวนตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งคอยติดตามสถานการณ์และคอยเฝ้าระวังทุกวัน โดยจะมีการผลัดเวรกันมอนิเตอร์ข้อมูลคอยดูประเด็นในแต่ละเรื่อง เพราะเชื่อว่าหลังจากนี้คำร้องคัดค้านการทำประชามติ หรือคำร้องเกี่ยวกับมาตรา 61 จะมีเข้ามาจำนวนมาก เนื่องจากศูนย์กลางในการแสดงความคิดเห็นที่มีความหลากหลายนั้นจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร อย่างไรก็ตาม ทุกการดำเนินการของ กกต.กทม.จะยึดตามระเบียบและกฎหมายเป็นหลัก