เมืองไทย 360 องศา
น่าแปลกใจไม่น้อยเหมือนกันกับผลสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ที่เพิ่งประกาศออกมาเมื่อสองวันก่อน ว่า ชาวบ้านยังรู้สึกว่าข้าราชการในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการทุจริตไม่ได้ต่างจากรัฐบาลชุดก่อน หรือรัฐบาลในยุคของนักการเมือง ความหมายก็คือ “ยังโกง-รับสินบนเหมือนเดิม” ไม่เปลี่ยนแปลง
แน่นอนว่าอาจจะแย้งกลับมาว่า นี่คือ “ความรู้สึก” อาจคลาดเคลื่อนก็คงไม่เถียง แต่อีกด้านหนึ่งที่มาของความรู้สึกดังกล่าวก็น่าจะสะท้อนความจริงบางอย่างออกมา ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นกับรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยประกาศให้การปราบปรามทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องจัดการอย่างจริงจังและเด็ดขาด
ดังนั้น การที่ชาวบ้านยังมีความรู้สึกว่าข้าราชการยังทุจริตอยู่เหมือนเดิม นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวในเรื่องดังกล่าวใช่หรือไม่ หรือทำให้มองเห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง จนทำให้ชาวบ้านมองเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงแบบมีนัยสำคัญ ทุกอย่างยังนิ่งสนิท หรือในทางตรงกันข้ามความรู้สึกแบบนี้ทำให้เข้าใจว่าบรรยากาศ “อาจเลวร้าย” กว่าเดิมด้วยซ้ำไป
อย่าลืมว่าในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หากจะเปรียบเทียบให่เห็นภาพ ก็คือ “ยุคข้าราชการเป็นใหญ่” อาจจะเรียกว่านี่คือ “รัฐข้าราชการ” ก็ว่าได้ แต่เมื่อผลสำรวจออกมาเป็นแบบนี้ ความรู้สึกของชาวบ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงมันก็น่าคิด
อย่างไรก็ดี หากย้อนกลับไปพิจารณาจากคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ก็เคยกล่าวในทำนองเดียวกันกันมาแล้ว นั่นคือ การทุจิตไม่ได้ลดลงเลย ดังนั้น เมื่อผลสำรวจออกมาแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นภาพถึง “ความล้มเหลว” ในการปราบปราบ หรือการแก้ปัญาการทุจริต ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เคยประกาศว่าต้องจัดการอย่างจริงจัง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันสวนทาง
เรื่องที่เกิดขึ้นอาจแย้งอีกว่า “ไหนละหลักฐาน” อย่ากล่าวหาส่งเดช เป็นการบั่นทอนกำลังใจ ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ก็เคยหงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง เมื่อมีการพูดถึงเรื่องการทุจริตในยุครัฐบาลของเขา หลังจากก่อนหน้านี้ มีผู้บริหารระดับสูงของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเคยออกมาระบุว่า การทุจริต การรับเงินใต้โต๊ะยังมีอยู่เหมือนเดิม และอาจมากกว่าเดิม จนทำให้มีเสียงคาดคั้นกลับมาให้มีการนำหลักฐานมาแสดง จนผ่านมาเรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่งหลังจากนั้นมีการพูดในเชิงปรารภออกมาจากปากของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และตามมาด้วยผลสำรวจของสวนดุสิตโพลดังกล่าว เป็นการยืนยันความรู้สึกของชาวบ้านส่วนใหญ่ว่า การทุจริตในหมู่ข้าราชการยังเหมือนเดิม การทำงานแบบเช้าชามเย็นชามยังเหมือนเดิม
แน่นอนว่านี่คือความรู้สึก แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธความเป็นจริงไม่ได้ว่าความรู้สึกก็ย่อมสะท้อนมาจากความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ เป็นการตอกย้ำภาพลบให้เห็น เป็นการตอบคำถามแบบไม่ลังเล และจำนวนความเห็นที่สะท้อนออกมาตรงกันสูงถึงร้อยละ 81 ที่บอกว่าการทุจริตยังเกิดขึ้นเหมือนเดิม ไม่ต่างจากยุครัฐบาลของพวกนักการเมือง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคนในคณะรักษาความสงบแห่งชาติมักฉวยโอกาสประณามพวกนักการเมืองอยู่เสมอ
สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ เมื่อความรู้สึกของชาวบ้านมองว่าการทุจริตของข้าราชการในรัฐบาลชุดนี้จะส่งผลต่อความศรัทธามากน้อยแค่ไหน เพราะที่ผ่านมาปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้บั่นทอนความเชื่อมั่นศรัทธาต่อผู้นำและเป็นสาเหตสำคัญทำให้หลายรัฐบาลพังมานักต่อนักแล้ว ดังนั้น หากบอกว่าชาวบ้านส่วนใหญ่ยังมีความรู้สึกแบบนี้อยู่มันก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ในอนาคตจะส่งผลต่อการบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อาจถูกมองว่า “ดีแต่พูด” ทำไม่ได้จริงสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการปฏิรูปตามความต้องการของชาวบ้าน ที่เวลานี้เรื่องเร่งด่วนอย่างการปฏิรูปตำรวจก็เฉไฉยกยอดไปให้รัฐบาลต่อไป เรื่องปฏิรูประบบราชการ ที่บางหน่วยงานยังมีปัญหา เช่น เรื่อง “มาตรฐานการบิน” ที่เวลานี้ยังลูกผีลูกคน ยังต้อฃลุ้นว่าจะถูกแบนจากสหภาพยุโรปหรือไม่ โดยจะมีการเข้ามาตรวจสอบและชี้ขาดอีกครั้งในราวกลางเดือนพฤษภาคมนี้ การแก้ปัญหาประมงผิดกฎหมาย ที่ในภาพรวมแล้วยังน่าห่วงว่าอาจจะถูกแบนเพราะการแก้ปัญหาไม่ได้ตามเป้าหมาย
หลายเรื่องเวลานี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มถูกวิจารณ์ในทางลบมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเรื่องผลงานและความล่าช้า ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เริ่มมีเสียงบ่นดังขึ้นว่า “ชักไม่คุ้มค่า” กับสิทธิบางอย่างของชาวบ้านที่ต้องยอมเสียไป ถูกริบอำนาจไปอยู่ในมือของเขาแบบเบ็ดเสร็จแต่ร่วมสองปีแทบไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิมมากนัก
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่ระยะหลังคำพูดของ เขาจะ “ไม่ปัง” ชาวบ้านชักเริ่มรำคาญกลายเป็นคำแก้ตัวเอาตัวรอดไปวันๆ!!