ป้อมพระสุเมรุ
คนละครึ่งทาง??
ข้อเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญของ “แม่น้ำ 4 สาย” ประกอบด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ถูก คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ภายใต้การนำของ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ปรับแต่งดัดแปลงมาพอสมควร
จนทำให้ดูเหมือนว่า “ใบสั่ง คสช.” จะไม่ขลังอย่างที่คิด
และเป็นที่มาของวลีเด็ด “บ้านเมืองไม่ใช่เรื่องต่อรอง” จากปาก “บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พี่ใหญ่แห่ง คสช. ที่ถอดรหัสได้ว่า “บิ๊กบราเทอร์สบูรพาพยัคฆ์” ไม่แฮปปี้เท่าไรกับการตอบสนองของ 21 อรหันต์ กรธ.ที่ดูจะแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ใส่หมดหน้าตักตามที่ คสช.ในนาม “แม่น้ำ 4 สาย” เสนอแกมบังคับไป
จาก “ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้” กลายเป็นว่าถูกต่อรองจนได้แค่ครึ่งๆกลางๆ ไม่สมดังที่ “ขุนทหาร” ตีกรอบไม่ให้ทุกสายอำนาจเดินนอกลู่-ออกนอกทาง ซึ่งต้องมีกลไกคอนโทรลประเทศ และคุมเข้มฝ่ายการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่าน
เชื่อว่าสัญญาณจาก “บิ๊กป้อม” ที่ไม่ยอมเอาแค่ครึ่งทาง จะเอาให้ “สุดซอย” ตามข้อเสนอที่ชงไป 3 ประเด็น คงก้องไปถึงหู “มีชัย” ที่เปลี่ยนบรรยากาศไปเขียนร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายอยู่ที่ริมหาดหัวหินอย่างแน่นอน
ประเด็นแรก รูปแบบการเลือกตั้งที่ คสช.ต้องให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และกำหนดเขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้น โดยให้ประชาชนเลือกผู้สมัครได้เพียงคนเดียว ซึ่งได้ “เซียนเลือกตั้ง” จาก “ค่ายสีน้ำเงิน” ฟันธงแล้วว่าสูตรนี้ปราบ “ขั้วตรงข้าม” ให้แพ้การเลือกตั้งได้อย่างชะงัก แต่กลับถูก กรธ.คว่ำทิ้งอย่างไม่ใยดี โดยยืนยันตามหลักเดิม ให้ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว
“เซียนเลือกตั้งเสื้อสีน้ำเงิน” ก็เป็นคนเดียวกับที่เคยออกแบบสูตรเลือกตั้งและชงให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เพื่อวางเกมสู้ศึกเลือกตั้งปี 2554 แต่ก็แพ้ให้กับพรรคเพื่อไทยไปอย่างหมดรูปนั่นแหละ
ประเด็นที่ 2 จำนวนและที่มาของ ส.ว. ดูจะเป็นประเด็นที่พบกันครึ่งทางมากที่สุด หรือจะพูดให้ชัด คสช.ได้ไปค่อนทางด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนและที่มา อาจจะผิดเพี้ยนไปบ้างในเรื่องรายละเอียดและอำนาจ ส.ว. โดย คสช.เสนอให้เพิ่มจำนวน ส.ว.เป็น 250 คน และให้มาจากการสรรหาทั้งหมด ซึ่งทาง กรธ.เห็นด้วยในจุดนี้ แต่ขอให้ เป็น ส.ว.สรรหา จำนวน 200 คน ที่เหลือ 50 คนขอใช้วิธีเลือกตั้งทางอ้อมจากตัวแทนสาขาอาชีพ
จุดสำคัญอยู่ที่ข้อเสนอ คสช.ต้องการให้ “ผู้นำเหล่าทัพ” มาเป็น ส.ว.โดยตำแหน่งในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ซึ่ง กรธ.ก็ไม่ขัดข้องแต่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน เขียนคลุมเครือเหมือนจะให้อยู่ในโควต้า “ข้าราชการ” ก่อนที่ “มีชัย” จะออกมาระบุว่า ในบทเฉพาะกาลให้อำนาจ คสช. เลือกกรรมการสรรหา ส.ว. จำนวน 9 คนมาเป็นผู้เลือก 200 ส.ว. ซึ่งไม่ได้ห้ามสมาชิก คสช.มาเป็นกรรมการด้วยแต่อย่างใด อันนี้ “วิน-วิน” แน่นอน แม้ไม่ได้ล็อกสเปก แต่เมื่อที่มาของกรรมการเป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียก็ “ผบ.เหล่าทัพ” ก็นอนมาตามความต้องการของ คสช. รวมไปถึง “ข้าราชการ - นายทหารระดับสูง” ที่คงพาเหรดมาร่วมเป็น “ส.ว.ลากตั้ง” ไม่ต่างจาก สนช.ในปัจจุบันเท่าไรนัก
จุดที่น่าจะทำให้ “บิ๊ก คสช.” ไม่ปลาบปลื้มเป็นพิเศษ ก็คงเป็นเรื่อง อำนาจของ ส.ว. ที่ถูก กรธ.เขี่ยทิ้งข้อเสนอในเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมไปถึงการวางกลไกอำนาจในการเลือกนายกฯไว้อย่างซับซ้อน ถือเป็น “ครึ่งทาง” ที่อาจจะชี้เป็นชี้ตายร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เลยทีเดียว
ประเด็นที่ 3 กรธ.ยังยืนยันหลักการให้พรรคการเมืองเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรี 3 คนตามเดิม แต่หากเกิดกรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ก็ให้เปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาระหว่างส.ว. และ ส.ส. เพื่อยกเลิกเงื่อนไขเลือกนายกรัฐมนตรีในบัญชี แล้วกลับไปให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
ตรงนี้เท่ากับว่า กรธ.ยังเปิดช่องให้มี “นายกฯคนนอก” ได้เช่นเดิม เพียงแต่ต้องเสนอหน้าออกมาให้คนเห็นก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งผิดความตั้งใจของ คสช. ที่ไม่อยากให้ “ว่าที่นายกฯ” ต้องถูกประจานก่อนที่จะเถลิงอำนาจ แต่ถ้าถึงเวลายังโหวตไม่ได้ เข้า “เดดล็อค” ค่อยถึงคิวของ “ตัวละครลับ” ที่จะเผยโฉมมาให้ ส.ส.-ส.ว.โหวตเลือก
ไม่เพียงแต่เสียงของ “บิ๊กป้อม” เท่านั้น ยังมีเสียงจากปาก “คนสนิทบิ๊กตู่” อย่าง พรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ที่อยู่คนละก๊วนกับ “เนติบริกร” อยู่แล้ว ออกมาสำทับ แถมพูดชัดยิ่งกว่า โดยบอกว่า เนื้อหาที่ กรธ.แก้ไขยังไม่ตอบโจทย์ “แม่น้ำ 4 สาย” พร้อมกับแนะนำให้ กรธ. รีบทบทวนทำตามข้อเสนอทั้งหมดก่อนที่จะสรุปออกมาเป็นร่างสุดท้าย
ล้ำเส้นหรือไม่ คิดกันเอาเอง
“พรเพชร” เป็นมือกฎหมายที่ “บิ๊กตู่” วางใจใช้งานมากที่สุดภายหลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ยิ่งกว่า “ทีมเนติบริกร” ของ “มีชัย-วิษณุ-บวรศักดิ์” เสียอีก หากยังจำกันได้ช่วงร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 “บิ๊กตู่” สั่งให้รอ “ที่ปรึกษา” กลับจากต่างประเทศ เพื่อมาตรวจสอบขั้นสุดท้ายก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ซึ่งคนนั้นก็คือ “พรเพชร” นั่นเอง
ระดับความไว้ใจ “พรเพชร” สูงปรี๊ด ชนิดที่พูดแทนหัวหน้า คสช.ได้ โดยไม่ต้องรอฟังจากปากของ “บิ๊กตู่” ด้วยซ้ำ
เมื่อ “คสช.-ขุนทหาร” ไม่ยอมแค่ครึ่งทาง แต่จะเอาให้ “สุดทาง-สุดซอย” ต้องดูว่า “มีชัย” จะอาศัย “ลูกเก๋า” ผ่านไปได้อย่างไร แต่จู่ๆ จะมายอมทำตามข้อเสนอ “แม่น้ำ 4 สาย” ทั้งหมด ก็จะเสียหลัก ผลาญเครดิต “มือกฎหมายประเทศไทย” ไปเสียอีก
อีกทางที่หลายฝ่ายยุแหย่มาเป็นระยะ ให้ ประธาน กรธ. “ไขก๊อก” ลาออกเพื่อรักษาศักดิ์ศรีก็ดูอาจจะทำให้เสีย “งานใหญ่” และผิดสัญญากับ “ผู้หลักผู้ใหญ่” ที่ขอช่วยให้มารับงานช่วย คสช.
ก่อนถึงเวลานั้น เชื่อว่า “มีชัย” อาจต้องกลับไปพึ่งบารมี “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เพื่อเช็ค “สัญญาณบางประการ” เกี่ยวกับข้อเสนอของ “คสช.-ขุนทหาร” ว่ามาจากไหน ได้รับ “ไฟเขียว” มาตลอดทางหรือไม่
หน้าตาของ “ร่างมีชัย” จะเป็นอย่างไร 29 มีนาคมนี้ ได้รู้กันแน่ แต่จุดจบของ “มีชัย” กับภารกิจร่างรัฐธรรมนูญ จะซ้ำรอยศิษย์รักอย่าง “บวรศักดิ์” ที่ถูกทิ้งไว้กลางทางหรือไม่ ต้องติดตามอีกไม่นานก็รู้ผล.