“อุดมเดช” เคลียร์ข้อแคลงใจอุทยานราชภักดิ์ หลัง สตง.ออกมายืนยันผลสอบไม่พบทุจริต ย้ำไม่มีค่าหัวคิว เงินบริจาคเอกชนไม่ใช่การลบล้างความผิดเพราะดำเนินการก่อนเป็นข่าว บอกเมื่อทุกอย่างโปร่งใสเดินหน้าก่อสร้างส่วนที่เหลือต่อ รอ “บิ๊กหมู” นั่งประธานมูลนิธิฯ ต่อ พร้อมขอบคุณ “บิ๊กต๊อก” ตรวจสอบจนจบ ยันไม่เคยขัดแย้งกับใคร
พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวชี้แจงเพิ่มเติมกรณีมีการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ ภายหลังสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แถลงข่าวไม่พบการทุจริตเมื่อวันที่ 23 มี.ค.นี้ว่า อยากชี้เพิ่มเติมใน 3 ประเด็นที่ยังมีความแคลงใจของสังคมอยู่ คือ 1. เรื่องการหักหัวคิว ยืนยันว่าไม่เคยยอมรับว่ามีการหักหัวคิว แต่เป็นเพียงการซักถามของผู้สื่อข่าวว่ามีเรื่องการหักหัวคิวหรือไม่ ตนจึงตอบไปว่าเป็นความจริงเพียงบางส่วน และได้มาอธิบายเพิ่มเติมโดยลำดับว่าไม่ใช่หัวคิว แต่เป็นการดำเนินงานของเอกชนที่เราไปทำสัญญากับบริษัท 6 โรงหล่อ และมี 5 โรงหล่อที่นำเอกชนอีกส่วนหนึ่งมาร่วมซึ่งอาจมีความเข้าใจว่าเอกชนดังกล่าวมีความรู้ความสามารถในการให้คำปรึกษาได้และมีการตอบแทนเป็นค่าที่ปรึกษาไป และ สตง.ก็ได้ชี้แจงไปแล้วเมื่อวานนี้ ถือว่าไม่ใช่มาตั้งแต่ต้นแล้ว
“ผมจะอธิบายสิ่งเหล่านี้ และจะพูดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายว่าไม่เคยมีการหักหัวคิว และผมได้อธิบายมาตามลำดับ แต่เนื่องจากการยื่นคำถาม ผมได้ตอบไป จึงมีความเข้าใจผิดว่าผมยอมรับมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นความเข้าใจผิดของท่านต่างๆ แต่ไม่ใช่ผมเข้าใจผิด ผมเข้าใจถูกมาตั้งแต่ต้น และพยายามอธิบายมาโดยตลอด”
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ส่วนเรื่องที่ 2 คือ มีการตั้งข้อสงสัยว่า ตนเหมือนจะรู้เรื่องผลการแถลงของ สตง.ล่วงหน้าว่า สิ่งที่ทาง สตง.แถลงไปเมื่อวานไม่ได้ล่วงรู้อะไรมาก่อนหน้านั้น จะเห็นได้ว่าก่อนหน้านี้ สตง.ได้มีการพูดถึงเรื่องดังกล่าวมาเป็นเดือนแล้ว ผ่านการสัมภาษณ์ของสื่อมวลชน ตนก็ได้ติดตามมาตามลำดับว่ามีผู้ใหญ่ของ สตง.ตรวจสอบข้อมูลแล้ว และผลออกมาเป็นอย่างไร ออกมาในแนวทางเป็นปกติหรือไม่ ตนก็รับฟังมาเรื่อยๆ
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า สตง.เป็นองค์กรที่ 3 ต่อจากคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหม และกองทัพบก ในการตรวจสอบการทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์ และ สตง.ถือเป็นองค์กรอิสระน่าเชื่อถือมากที่สุดแล้ว และไม่มีใครไปบังคับได้ เพราะไม่ใช่หน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อกองทัพบก หรือกระทรวงกลาโหม และไม่จำเป็นต้องมาเกรงใจตนด้วย และมั่นใจว่า สตง.ได้ทำงานไปตามระบบ ที่ผ่านมา สตง.มีหน้าที่ในการตรวจสอบโครงการต่างๆ ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่ามีการทุจริต ของทุกหน่วยงาน แต่ไม่ได้แถลงข่าว ผิดกับกรณีนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ที่กรุณาแถลงให้เป็นพิเศษร่วมกับศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ที่มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เป็นประธาน ซึ่งถือว่าทุกคนทำตามหน้าที่ ไม่มีนอกหน้าที่ และควรจะเชื่อถือในสิ่งที่ตรวจสอบแล้ว ยืนยันตนไม่ได้ไปรับข้อมูลจากผู้ใหญ่ใน สตง. ซึ่งการแถลงข่าวเมื่อวานมา 2 คณะ คือ สตง.และ ป.ป.ท.ที่ได้รับคำสั่งมาจาก ศอ.ตช.เพื่อให้ข้อมูลกระจ่างชัดในทุกแง่มุม และมาพบผม ผมก็ได้รายงานไป และไม่ได้มีการรายงานผลการตรวจสอบมาให้ผมทราบ เพราะผมไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานอิสระ
ส่วนเรื่องที่ 3 คือ เรื่องเงินบริจาคจากเอกชนที่มาให้คำปรึกษา เปรียบเหมือนบริจาคเพื่อลบล้างความผิด ขอเรียนว่าสามารถดูวันที่ของการบริจาคได้ เรื่องราวที่เริ่มเป็นประเด็นหลังตนเกษียณอายุราชการไปแล้วและอาจมีบางคนสงสัย
“การบริจาคของเอกชนหรือบุคคลที่ 3 ซึ่งผ่านการพูดคุยกับโรงหล่อแล้ว เขาบริจาคมาเป็นเดือน เขาตกลงกันเช่นนั้น สามารถเช็กดูวันที่บริจาคได้เลย และผ่านการตรวจสอบหมดแล้ว ไม่ใช่การบริจาคเพื่อลบล้างความผิดอะไรหลังจากเกิดประเด็นขึ้นมา”
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า ต้องขอขอบคุณรัฐบาล เอกชน ประชาชน ที่บริจาคเงินในการก่อสร้างโครงการอุทยานราชภักดิ์ซึ่งมีจุดประสงค์ 3 ประการ คือ 1. เพื่อระลึกและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ 3. ลานประกอบพิธีสำคัญ
“ผมในฐานะเป็นประธานมูลนิธิราชภักดิ์ ร่วมกับกองทัพบกจะพยามดำเนินการก่อสร้างส่วนที่เหลือ คือ แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ให้แล้วเสร็จ เพราะเงินบริจาคเหลืออยู่ และผมมีพันธสัญญากับประชาชนทั้งประเทศที่บริจาคเงินตั้งแต่หนึ่งบาทขึ้นไปว่าต้องทำลุล่วงให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ผู้บริจาค และผมได้ประสานไปยังกองทัพบกแล้วเพื่อจะดำเนินการสานต่อ แต่ในส่วนคณะกรรมการชุดใหม่ที่ดูแลอาจมีการปรับเปลี่ยนได้ ทราบว่ามีความพร้อมเพียงแต่รอให้ทุกอย่างยุติลง”
พล.อ.อุดมเดชกล่าวว่า นอกจากนี้ได้เตรียมก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีก เช่น ห้องสุขา มี 100 ห้องขึ้นไป จากการตรวจสอบตั้งแต่เดือน ต.ค. 2558 ถึงปัจจุบัน มียอดผู้เข้าชมประมาณ 3.8 ล้านคน แต่ละวันมีคนเข้าชมในหลักพัน โดยเฉพาะวันหยุดมีเป็นหลักหมื่น และในวันที่ 1 ม.ค. 2559 คนเข้าชมกว่า 2 แสนคน มีรถเข้าออกไม่ต่ำกว่า 4 หมื่นคัน
พล.อ.อุดมเดชกล่าวอีกว่า โครงการอุทยานราชภักดิ์เป็นของประชาชนทุกคน เพียงแต่อยู่ในพื้นที่ของกองทัพบกซึ่งมีหน้าที่ดูแล และอุทยานราชภักดิ์ไม่ใช่ของตนหรือของมูลนิธิฯ และตนมีความตั้งใจไว้แล้วจะต้องเชิญ ผบ.ทบ.ในแต่ละยุคแต่ละสมัยเข้ามาเป็นประธานมูลนิธิฯ งานจะได้สอดรับกันไป ตนเคยเรียนทางกองทัพบกไปแล้วว่าจะเรียนเชิญท่าน ถ้าท่านพร้อมเมื่อไหร่ก็จะดำเนินการ เพียงแต่ติดขัดปัญหาขณะนี้จึงทำให้ทุกอย่างชะลอตัว
รมช.กลาโหมกล่าวว่า จากนี้ไปพร้อมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบในทุกประเด็น ตามอำนาจหน้าที่และคงรับข้อมูลพื้นฐานจาก สตง.และ ป.ป.ท.ไปแล้วหากมีประเด็นใดที่ยังค้างคาใจ
“ในใจของผมและประชาชนส่วนใหญ่คงคิดว่าการตรวจสอบน่าจะพอสมควรแล้ว เพราะทุกอย่างเหมือนจะเคลียร์แล้ว ผมก็รู้สึกสบายใจ เพราะผ่านการพิสูจน์หน่วยงานที่เป็นมาตรฐานและมีกำลังใจที่จะทำต่อไป ผมรักกองทัพบก แม้เกษียณไปแล้ว บางคนไปเขียนว่ามีความขัดแย้งกัน ถือเป็นเรื่องปกติ ผู้บังคับบัญชาปัจจุบันสามารถดำเนินการใดๆ ได้ในขณะที่อยู่ในหน้าที่ ทุกคนไม่มีปัญหาและรู้ว่างานของชาติมีมากมาย”
“ผมต้องขอขอบคุณในส่วนของ ศอ.ตช.ได้ตรวจสอบตามหน้าที่ และยืนยันว่าผมไม่เคยมีปัญหากับ พล.อ.ไพบูลย์ เจอกันก็คุย แต่เรื่องนี้ไม่คุย เพราะเราโตกันแล้วทั้งคู่ ท่านก็ดี ผมเจอท่านไม่เคยขอร้องให้ช่วย ท่านเจอผมคุยเรื่องงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่วนตัวผมไม่มีปัญหากับใคร และคิดว่า คนอื่นคงไม่มีปัญหากับผม พร้อมยืนยันว่าตั้งแต่มีปัญหาเกิดขึ้น ผมไม่เคยน้ำตาคลอ แต่อาจจะเป็นคนตาแฉะ”