ป้อมพระสุเมรุ
ไม่เคยคิดจะวัดรอยเท้า “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ไม่คิดจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้มากบารมีคนใหม่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องรีบออกมาชี้แจง หลังกรณี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แจ้งข้อหาหมิ่นประมาท และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กับ “บิ๊กตุ้ม” พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) และอดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ จนถูกโยงว่าเป็นการงัดข้อกับผู้มากบารมีแห่ง “บ้านน้อยเสา"
แล้วยังการันตีว่า ให้ความเคารพ “ป๋าเปรม” เสมอ ไม่คิดไปเทียบท่าน ที่สำคัญเลยกับวลีเด็ด “พะจุณณ์ มันก็น้องผม” โทนเสียง “บิ๊กป้อม” แผ่วลงไม่แข็งกร้าวเหมือนกับวันแรกๆ ที่มีข่าว สตช. จะเอาผิด “บิ๊กตุ้ม” กรณีพาดพิง“พล.อ.” เซ็งลี้เก้าอี้ตำรวจ
จับปฏิกิริยา “พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์” น่าจะประเมินแล้วว่า ถ้าปล่อยให้เรื่องบานปลาย ไม่ดีต่อตัวเองและรัฐบาลแน่ โดยเฉพาะเมื่อ “บิ๊กตุ้ม” ก็ไม่ยอมโดนไล่บี้อย่างเดียว ลุกขึ้นสู้ โดยเดินทางไปยื่นเรื่องให้ผู้ตรวจการแผ่นดิน ตรวจสอบว่าการแจ้งข้อกล่าวหาของสตช. ชอบโดยกฎหมายหรือไม่
เดินหน้าสวนหมัดเป็นหมูไม่กลัวปังตอ เพราะมั่นอกมั่นใจในข้อกฎหมายว่า สู้กับสตช.ได้ โดยเฉพาะการได้มือดีด้านกฎหมายมาช่วยพร้อมกันถึง 2 คน ไม่ว่าจะเป็นในราย “นิติธร ล้ำเหลือ” ทนายความที่สร้างชื่อในยุคของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือซือแป๋กฎหมายรุ่นเก๋า อย่าง “อุดม เฟื่องฟุ้ง” อดีตรองประธานศาลฎีกา และอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.)
ยิ่งเรื่องมาอยู่ในมือผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่แม้จะมีคนค่อนแคะว่า เป็น “เสือกระดาษ” แต่ต้องอย่าลืมว่า การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธุ์ 2557 ที่เป็นโมฆะ ก็เพราะการที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยมีมือกฎหมายคนสำคัญของคสช. ในยุคปัจจุบันเป็นผู้ว่าความฝ่ายโจทก์ นาม “พรเพชร วิชิตชลชัย” สมัยเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน
ถึงขนาดฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเคยเหน็บแนมว่า องค์กรผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นเหมือนองค์กรของอำมาตย์ ซึ่งมันก็น่าหวาดเสียวสำหรับ “ท็อปบูต” ที่มีองค์กรตามรัฐธรรมนูญเป็นของแสลงมาแต่ไหนแต่ไร
ดังนั้น ถ้า “บิ๊กป้อม” ยังหุนหันพลันแล่น ไม่ลดโทน ย่อมไม่เกิดผลดีกับรัฐบาลแน่ ยิ่งเรื่องที่งัดกันอยู่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการซื้อ - ขาย ตำแหน่งของตำรวจ เกิดเรื่องเกิดราว ขึ้นโรงขึ้นศาล งานนี้รายการชำแหละไส้ในวงการตำรวจยิ่งกลายเป็นเรื่องน่าสนใจ
อย่างที่รู้กันมาตลอด เรื่องการวิ่งเต้น ซื้อ - ขาย ตำแหน่งตำรวจ ได้ยินกันมานานนม ทุกคนในสังคมรู้ดีว่า ข้างนอกโปร่งใสแต่ข้างในเป็นโพรงมากแค่ไหน เพียงแต่ที่ผ่านมามันจับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน ไม่มีใบเสร็จมัด พวกหัวโจกทั้งหลายก็เลยรอดตัวมาได้ แต่ให้ไปสาบานจุดธูปยันยืนว่า ไม่มีเรื่องนี้ในวงการสีกากี กล้าหรือไม่ ร้อยเอาบาทเดียว พูดได้ไม่เต็มปาก
ขนาดชาวบ้านชาวช่องยังรู้ แล้วคนระดับรองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่มีเพื่อนพ้องน้องพี่หลายสาขาอาชีพ จะไม่รู้เรื่องนี้เชียวหรือ ดังนั้น ถ้าปล่อยให้ถึงจุดนั้น ต้องยืนคนละฝั่งในฐานะโจทก์ กับจำเลย มันจะเกิดปรากฏการณ์สาวไส้กันเละเทะ
แล้วเสียงเรียกร้องเรื่องปฏิรูปวงการตำรวจจะดังกระหึ่มขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้รัฐบาลนั่นแหละที่จะตอบต่อสังคมอย่างไร เพราะทุกวันนี้ก็โดนถากถางเยอะพอสมควรว่า ไม่กล้าแตะต้ององค์กรตำรวจ นิยามคำว่า ปฏิรูปองค์กรตำรวจของรัฐบาลนี้ ไม่ต่างจากรัฐบาลปกติคือ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งเอาคนของฝ่ายตรงข้ามออก แล้วดันพวกเดียวกันขึ้นแทน ซึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ความเชื่อถือและศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจยังเหมือนเดิม โครงสร้างต่างๆ แทบไม่กระดิกไปไหน นอกจากข้ออ้างการปฏิรูปเป็นระยะ เพื่อให้รัฐบาลใหม่มาสานต่อ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนอยากจะเห็นเป็นรูปธรรมมากที่สุดในยุคนี้ แต่มันกลับเป็นเรื่องที่ไปไม่ถึงไหนเลย
ต้องยอมรับความจริงว่า ที่รัฐบาลไม่กล้าทำอะไรมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกลัวจะเกิดแรงกระเพื่อมในวงการสีกากี และอีกส่วนที่สำคัญคือ มีผู้ใหญ่ในวงการตำรวจที่มีคอนเนกชั่นไม่ธรรมดา พยายามขวางทางการปรับโครงสร้างใหม่ไว้
แต่ถ้าปล่อยให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ถึงตอนนั้นมันก็คงจะทานเสียงเรียกร้องปฏิรูปยาก “บิ๊กป้อม” ก็รู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก แล้วคนที่เสียกับเสีย ก็คือ ตัว “บิ๊กป้อม” เอง ในฐานะที่กำกับดูแล สตช.
อย่างไรก็ตาม โทนเสียงที่แผ่วเบาลงอย่างเห็นได้ชัดหนนี้ของ “บิ๊กป้อม” มีบางถ้อยคำที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการบอกว่า “พะจุณณ์ไม่ได้ทะเลาะกับผม” มันก็มิวายถูกตั้งคำถามไปอีกว่า แล้วใคร คือคนที่กำลังตามไล่บี้ “บิ๊กตุ้ม” เพราะ สตช. ก็อยู่ในการกำกับดูแลของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์
ถ้าในเมื่อ “บิ๊กป้อม” ปฏิเสธ แล้วเหตุใดสตช.ถึงกล้าที่จะเดินหน้าฟ้อง “บิ๊กตุ้ม” หากไม่มีแบ็กดีคอยหนุน แล้วต่อให้หนุนหากไม่ได้รับไฟเขียวจาก “บิ๊กป้อม” ก่อน ก็ไม่น่าจะกล้าทำอะไรโดยพลการ ตามคิวเลยมีการเพ่งเล็งไปที่คนในบ้าน “วงษ์สุวรรณ”
ก็อย่างที่รู้กัน “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เองก็ไม่ได้รู้จัก “บิ๊กป้อม” แค่คนเดียว แต่เข้าออกบ้านหลังนี้เป็นว่าเล่น ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 เสียอีก
ขณะที่คนในบ้าน “วงษ์สุวรรณ” บางคนก็เป็นที่เคารพนับถือของคนในแวดวงตำรวจ แถมบางคนยังทรงอิทธิพลอย่างมากในยุคปัจจุบันอีกด้วย ฉะนั้น เรื่องการเอาผิด “บิ๊กตุ้ม” ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีมาตั้งแต่สมัยสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้มีการรื้อใหญ่โครงสร้างตำรวจ ย่อมมีการปรึกษากันแล้ว
เพียงแต่แรกๆ อาจประเมินผิดไปว่า การเอาเรื่อง “บิ๊กตุ้ม” เที่ยวนี้ จะสามารถทำให้เจ้าตัวสงบปากสงบคำ ไม่ต้องออกมาตีฆ้องร้องป่าวเรื่องสังคายนากรมปทุมวันอีก แต่ตรงกันข้าม เมื่อเล่นผิดคน กับเล่นผิดเรื่อง
แน่นอน “บิ๊กตุ้ม” อาจจะไม่ได้ใหญ่โตอะไรในกองทัพ แต่เป็นที่รู้กันว่า เขาคืออดีตนายทหารคนสนิทของ “ป๋าเปรม” การมาไล่บี้ทำให้พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ อาจถูกมองได้ว่า เป็นการวัดรอยเท้า เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกระแสเรื่องนี้อยู่เนืองๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ที่ผิดมหันต์คือ การแก้ตัวเรื่องการซื้อ - ขายตำแหน่งตำรวจ โดยการฟ้องกลับคนออกมาแฉ เสมือนไม่รู้ว่าเรื่องดังกล่าวมันมีจริงๆ
งานนี้พี่ใหญ่เลยเกือบซวย จนต้องชิงลดกระแส