ที่ประชุม ครม. ไม่ได้พูดถึง “นายทักษิณ” แต่นายกฯ ย้ำ ทุกภาคส่วนชี้แจงในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำงาน ลดการประสานงา การต่อปากต่อคำ เอาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น แหล่งข่าวเชื่อเจรจากับทุกกลุ่มการเมืองเป็นไปไม่ได้ ปัญหาเกิดจากแย่งชิงอำนาจ จ่อโยนเผือกร้อนขัดแย้งวงการสงฆ์ให้มหาเถรสมาคมไปคุยบ้าง ไม่ใช่ไม่ใช่คุยกันแต่ว่าสมเด็จใครอาวุโสกว่าใคร ด้าน บก.ลายจุด หนุนคุยกัน แนะเรียกกลุ่มอื่นมาด้วย เชื่อเสื้อแดงเดือดคนละเรื่อง เพราะถูกปลุกเร้ามา
วันนี้ (23 ก.พ.) ที่ทำเนียบบรัฐบาล แหล่งข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีแหล่งข่าวจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุถึงข้อเสนอจากสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ให้ ส.ส. มาจากการแบ่งเขต และ ส.ว. มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด และนายกรัฐมนตรี จะมาจาก ส.ส. หรือ ส.ว. ก็ได้นั้น เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงไม่กล้าออกความเห็น เพราะเป็นช่วงที่สังคมกำลังระดมความคิดเห็น การที่นายกรัฐมนตรี หรือใครก็ตามแต่ไปแสดงความคิดเห็นคงไม่งาม เพราะนายกรัฐมนตรี ถือว่าเป็นต้นทาง คสช. ซึ่งจะเหมือนการโยนหินถามทาง กรณีนี้ถือเป็นความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คงต้องรับไปพิจารณา โดยสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลให้ไป ก็คือความมีดุลยภาพในการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งจะต้องไม่มีฐานเสียงมาจากกลุ่มเดียวกัน
เมื่อถามว่า ในที่ประชุม ครม. มีการพูดถึงการเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ แหล่งข่าว กล่าวว่า ใน ครม. ไม่มีพูดถึงเรื่องนี้ แต่นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำส่วนที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการชี้แจงในสิ่งที่รัฐบาลกำลังทำงาน ลดการประสานงา การต่อปากต่อคำ เอาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับกรณีนายทักษิณจะเจรจาไปทำไม เพรายังไม่เข้าสู่กระบวนการ
เมื่อซักว่า แสดงว่า รัฐบาลนี้ไม่ให้ค่านายทักษิณเลยใช่หรือไม่ แหล่งข่าวกล่าวว่า ในความเป็นจริงก็อาจเป็นเช่นนั้น แต่คงไม่ถึงขั้นไปปรามาสความคิดเห็นใคร เพียงแต่ต้องมาดูว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ การเจรจากับทุกกลุ่มการเมืองนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะปัญหาเกิดจากการแย่งชิงอำนาจของกลุ่มการเมือง ส่วนการสร้างกฎกติกาเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มการเมืองแสวงหาผลประโยชน์ในอนาคตนั้น ตนถามว่าเราจะพูดคุยข้อตกลงกับนักการเมืองได้หรืออย่างไร มันเหมือนว่าพูดดูสวย แต่ในทางปฏิบัติมันทำไม่ได้
“เหมือนกับที่ คุณสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ที่บอกว่า เชิญทุกกลุ่มทุกฝ่ายมาพูดคุยเพื่อหาจุดลงตัว มันพูดได้ แต่มันทำยากมั้ยล่ะ ก็เหมือนกับจะให้พระพุทธอิสระ ไปคุยกับพระเมธีธรรมาจารย์ ได้มั้ยล่ะ” แหล่งข่าว กล่าว
นอกจากนี้ แหล่งข่าวเปิดเผยด้วยว่า ในกรณีปัญหาความขัดแย้งในวงการสงฆ์นั้น ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์ เน้นย้ำว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย เมื่อพระทำผิด ก็ถือว่าผิดกฎหมาย ถ้าผิดพระธรรมวินัย ก็ต้องไปดูว่าเป็นอย่างไร สองส่วนนี้ต้องแยกจากกัน ทั้งนี้ ตนได้โทร.หานายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเสนอความเห็นส่วนตัวไปว่า มหาเถรสมาคม (มส.) นั้น คุยกันแต่เรื่องการแต่งตั้งสมณศักดิ์ต่าง ๆ ทำไมเราไม่โยนปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ ไปให้ มส. แก้ เพราะความน่าเชื่อถือศรัทธา รวมถึงคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงนั้น การจะเป็นประมุขทางสงฆ์ นอกเหนือจากความถูกต้องตามกฎกติกาแล้ว ต้องมีความสง่างาม ไม่มีมลทิน ไม่มีการติฉินนินทา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มส. ต้องคุยเรื่องนี้ด้วย ไม่ใช่คุยกันแต่ว่าใครอาวุโสกว่าใคร จะได้รู้ว่าพระผู้ใหญ่แต่ละรูปมีความคิดอย่างไร
ด้าน.นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง กล่าวถึงกรณีที่ นายทักษิณ ขอเจรจากับ คสช. ว่า หลักการที่ต้องการเจรจาเป็นสิ่งดีเพราะความขัดแย้งด้านการเมืองทางความคิด ดังนั้น การพูดคุยถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยขจัดความขัดแย้ง แต่ทั้งสองฝ่ายต้องนึกถึงประชาชนให้มาก แต่หากไม่มีการพูดคุยกันก็คงต้องสู้กันต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่มีท่าทีว่าฝ่ายไหนจะชนะมีแต่ความศูนย์เสียโอกาสในการพัฒนาประเทศ ภาพลักษณ์ รวมถึงเกิดคดีความต่าง ๆ ตามมา
อย่างไรก็ตาม ควรส่งเสริมให้เกิดเวทีการพูดคุยในกลุ่มการเมืองด้วย ไม่ใช่พูดคุยกับนายทักษิณและ คสช. เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ว่าผลการพูดคุยจะมากน้อยเพียงใดก็ค่อย ๆ พัฒนา เรียนรู้และต่อรองกันต่อไป ขณะที่ปฏิกิริยาของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) มองว่า เป็นคนละเรื่อง ซึ่งต้องเข้าใจมวลชนแต่ละกลุ่มด้วยว่า มีภาวะทางอารมณ์ต่างกัน เพราะผ่านการปลุกเร้า ทำให้บางคนไม่เห็นด้วยกับการเจรจา