ป้อมพระสุเมรุ
ดิ้นสุดฤทธิ์! กลัวซะที่ไหน “หญิงปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังลัลลา ลอยหน้าลอยตาเป็นปกติ ทั้งที่คดีความตัวเอง กรณีละเว้นไม่ระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวจนก่อให้เกิดความเสียหาย ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เดินหน้าไปเรื่อยๆ
เรื่องของเรื่อง เพราะ “น้องหญิง” แห่งตระกูลชินวัตร และสมุนลิ่วล้อข้างกายยังเชื่อว่า คดีของรับจำนำข้าวในชั้นศาลฎีกาฯ น่าจะยังใช้เวลาอีกนานพอสมควร ไม่น่าจะจบได้ในเร็ววัน นับเฉพาะสอบพยานปากสุดท้ายในคดีนี้ก็ปาเข้าไปเดือนพฤศจิกายนนู่น
แล้วระหว่างนี้ แน่นอนว่า ต้องมีพยานปากใดปากหนึ่งของจำเลย เป็น “โรคเลื่อน” ซึ่งทำให้ไม่น่าจะจบได้ทันตามปฏิทินที่วางเอาไว้ ดูอย่างการนัดไต่สวนพยานเมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ทนายความฝั่ง “หญิงปู” เล่นซัก “เจ๊ด้ง” สุภา ปิยะจิตติ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว พยานฝ่ายโจทก์ ร้อยกว่าคำถาม แบบซ้ำไปซ้ำมา กินเวลาเป็นวัน จนถึงขนาดที่ศาลท่านต้องตักเตือน
โดยจากเดิมที่ต้องไต่สวน 4 ปาก ในวันดังกล่าว กลายเป็นไต่สวนได้เพียง 2 ปาก ยังเหลืออีก 2 ปาก จนศาลต้องเลื่อนไปไต่สวนในครั้งอื่น
มีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็น “แท็กติก” ของทนายความฝั่งจำเลย ด้วยการซักแบบละเอียดยิบให้กินเวลานานที่สุด ซึ่งยิ่งนานก็ยิ่งเข้าทางฝั่ง “หญิงปู” ที่หวังจะยื้ออยู่แล้ว เนื่องจากไม่ต้องการให้คดีความจบในช่วงที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยังบริหารประเทศอยู่
หรือหวังว่า ในช่วงระยะเวลาที่คดีความยังไม่ตัดสิน จะเกิดการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ฝ่ายผู้กุมอำนาจในปัจจุบันเพลี่ยงพล้ำจากปัจจัยต่างๆ ที่รุมเร้า ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ความชอบธรรมในการบริหารประเทศแบบลากยาว การต่อท่ออำนาจ อาจทำให้สถานการณ์ของเธอดีขึ้น
นาทีนี้ ทีมยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยไม่ได้คาดหวังว่า จะสามารถพลิกเอาชนะในชั้นศาลฎีกาฯได้ เพราะถ้าว่ากันตามเนื้อผ้า สู้ได้ลำบาก ความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวนั้นจะแจ้ง พินาศหลายแสนล้านบาท กอปรกับฝีมือทนายความฝั่งตัวเองที่ไม่ถึงชั้น กางมุ้งแพ้อย่างเดียว
สิ่งที่ต่อสู้ได้วันนี้คือ “ตอกลิ่ม” ให้เห็นว่า การดำเนินคดีนี้ โดยเฉพาะในชั้นคณะกรรมการป.ป.ช. ไม่ได้อำนวยความยุติธรรมให้เธออย่างเต็มที่ พอใครสัมภาษณ์อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อโครงการรับจำนำข้าว หรือมีช่องตรงไหนที่ทำให้เห็นว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดี ก็กระโดดเกาะทันที
โดยเฉพาะคิวล่าสุดที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาระบุว่า ข้าวไม่ได้หาย หรือที่ “จิรชัย มูลทองโร่ย” รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทางละเมิดในโครงการรับจำนำข้าว ออกมาเปิดเผยผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ตัวโครงการรับจำนำข้าวไม่ผิด แต่พฤติการณ์ของ “ยิ่งลักษณ์” ในฐานะนายกรัฐมนตรี และประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่ไม่กำกับดูแลจนก่อให้เกิดความเสียหาย จน “ยิ่งลักษณ์” และทีมกฎหมายสอบช่องรีบคว้ามาตีฆ้องร้องป่าวทันที เพื่อดิสเครดิตกระบวนการ
หรือการยกคำให้สัมภาษณ์ของ “สมลักษณ์ จัดกระบวนพล” อดีตกรรมการ ป.ป.ช. ที่ออกมาแสดงความเห็นว่า หากข้าวไม่หาย จะทำให้ขาดองค์ประกอบในการเอาผิด “ยิ่งลักษณ์” นั้น ฝั่ง “ทนายหน้าหอ” ก็รีบคว้าเอามาใช้ประโยชน์ หวังพึ่งดีกรีของ น.ส.สมลักษณ์ ที่เป็นอดีตผู้พิพากษาในศาลฎีกามาเพิ่มน้ำหนักให้ตัวเอง เป็นการฟ้องมวลชนตัวเองว่า ไม่ได้รับความยุติธรรมจริงๆ
ขณะที่ “ยิ่งลักษณ์” เองก็ดิ้นเป็นหมูไม่กลัวปังตอ ขยันโพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องความเป็นธรรมถี่ยิบ รวมไปถึงฉากเปิดบ้านให้สื่อต่างประเทศเข้าไปเยี่ยมชมแปลงผักที่เธอปลูกเอาไว้ช่วงถูกเว้นวรรคทางการเมือง ตั้งใจให้สื่อต่างชาติสัมภาษณ์ในประเด็นนี้ เพราะรู้ว่า สื่อต่างประเทศเหล่านี้พร้อมจะนำเสนอประเด็นดังกล่าว ซึ่งกลุ่มเป้าหมายคือ นานาชาติเพื่อจุดพลุเรื่องที่เธอไม่ได้รับความยุติธรรม
ที่ผ่านมา “ยิ่งลักษณ์” และทีมงานใช้มุกนี้มาตลอด แต่หลังจากนี้น่าจะทำลำบากแล้ว เพราะล่าสุดจากการไต่สวนพยานในวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้กำชับให้คู่ความระมัดระวังการให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับคดี อย่าให้สัมภาษณ์ที่เป็นการชี้นำ หรือบิดเบือนที่จะมีผลต่อกระบวนพิจารณาคดี ซึ่งจะเป็นการกระทำละเมิดอำนาจศาล ศาลอาจจะพิจารณาเรื่องการประกันตัวของจำเลย หรือมีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใด
ทีนี้เลยน่าสนใจว่า พอมุกสัมภาษณ์รายวันทำไม่ได้ องคาพยพจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพื่อให้กระแสไม่ได้รับความยุติธรรมยังคงติดลมบนในสังคม ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะใช้บุคคลภายในพรรคหรือนักวิชาการซึ่งไม่ใช่พยานฝ่ายจำเลยออกมาคอมเมนต์อยู่เรื่อยๆ เลี้ยงกระแสต่อไป
ขณะเดียวกัน ก็หันไปล่อเป้าเรื่องกระบวนการการดำเนินการเรียกค่าเสียหายแทน ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯชุดที่มี “จิรชัย” เป็นประธาน ได้ส่งไปถึงมือ “ขุนคลัง” อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างพิจารณา หากไม่มีอะไรต้องสอบเพิ่มก็จะนำเรื่องเสนอ “บิ๊กตู่” และหากยังไม่มีอะไรขัดข้องอีก ก็ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการพิจารณารับผิดทางแพ่งที่มี “มนัส แจ่มเวหา” อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน พิจารณาเพื่อออกคำสั่งให้ชำระค่าความเสียหาย
หากดูจากขั้นตอนแรกในชั้นของคณะกรรมการชุดนายจิรชัย “ยิ่งลักษณ์” ได้พยายามยื้อสุดแรง ด้วยการขอเพิ่มพยานแบบไม่หยุดยั้ง บางครั้งเห็นว่า ตัวประธานตรวจสอบเป็นข้าราชการก็จะให้ลิ่วล้อออกมาสัมภาษณ์ในลักษณะให้ข้าราชการพวกนี้ระมัดระวังโดนฟ้องกลับในทางกฎหมายเพื่อทำให้ฟ่อ
ดังที่เห็นว่า สุดท้าย “บิ๊กตู่” ต้องใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคสช. เพื่อคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยสุจริตในเรื่องนี้
จึงมีการจับตาดูกันว่า ในชั้นของคณะกรรมการพิจารณารับผิดทางแพ่ง ซึ่งตัวประธานก็ยังเป็นข้าราชการ หนำซ้ำยังถูกแต่งตั้งในสมัยรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะโดนจิตวิทยาแบบเดิมอีกหรือไม่ จะเจอกระบวนการเตะถ่วงอีกหรือไม่ เพราะขั้นตอนนี้ค่อนข้างต้องละเอียดรอบคอบ เนื่องจากจะเป็นผู้เคาะตัวเลขสุดท้ายว่า จะเรียกค่าเสียหายจากใครบ้าง และจะเรียกค่าเสียหายคนละเท่าไร
อย่างไร “ผีอีถ่วง” ก็กัดไม่ปล่อยแน่ เพราะในขั้นนี้ก็มีการอุทธรณ์คำสั่งได้
ขณะที่ตัวประธานคณะกรรมการพิจารณารับผิดทางแพ่งอย่าง “มนัส” ในสิ้นปีนี้ ก็จะเกษียณอายุราชการ จะสามารถพิจารณาได้เสร็จก่อนตัวเองปลดระวางในสิ้นเดือนกันยายนนี้หรือไม่
แต่ไม่ว่าอย่างไร สุดท้ายก็ต้องฟ้องก่อนเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่อายุความจะหมด เพราะหากพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าขึ้นมา เหมือนกลิ่นพิกลก่อนหน้านี้ว่า เดี๋ยวข้าวหาย เดี๋ยวไม่หาย เดี๋ยวผิด เดี๋ยวไม่ผิด จะพังกันเป็นโดมิโนแน่
เรียกว่า ไล่กันมาตั้งแต่ ป.ป.ช.เลย.