ป.ป.ช.ตั้งเป้า ปี 59 เคลียร์ 500 คดี เผยหากมีมูลหักหัวคิวขุดคลอง อผศ. เรียกสอบได้ทันที รับได้ข้อมุลคดีอุทยานราชภักดิ์จากกลาโหม-สตง.เพิ่มเพียบ ส่วนคดีเยียวยาเสื้อแดงได้ฟันเร็วๆ นี้เหตุมีความชัดเจนในข้อกฎหมาย ส่วนคดี “ไฟคนเมือง กทม.39 ล้าน” เตรียมเชิญผู้เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่ม รับหนักใจคดีทุจริตปริมาณค้างจำนวนมาก ด้าน 8 ป.ป.ช.มอบแนวทางการทำงาน 5 ส. “ประธาน” รับใกล้ชิด คสช. พร้อมเปิดห้องแถลงข่าวใหม่ใช้งบฯ 1.5 ล้าน
วันนี้ (15 ก.พ.) มีรายงานว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. พร้อมด้วยกรรมการ ป.ป.ช.อีก 8 คน และนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.ได้จัดประชุมเพื่อมอบนโยบายการดำเนินงานให้กับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.
ต่อมา พล.ต.อ.วัชรพลเป็นประธานพิธีเปิดห้องสื่อมวลชนประจำสำนักงาน ป.ป.ช. ที่มีการใช้งบประมาณในการสร้างห้องพักสำหรับสื่อมวลชน 1.5 ล้านบาท ทั้งนี้ยังพบว่ามีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบภายในห้องแถลงข่าวด้วย
พล.ต.อ.วัชรพลเปิดเผยในการทำงานรอบ 1 เดือนว่า ในการมอบนโยบายวันนี้ให้เจ้าหน้าที่ทุกคนคำนึงถึงการไต่สวนคดีต้องทำด้วยความรอบคอบ โดยมีหัวใจสำคัญของบริบทการทำงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ คือ มีความประสงค์ให้ สำนักงาน ป.ป.ช.ต่างจังหวัดมีบทบาทมากขึ้น ทั้งการการแสวงหาข้อเท็จจริงและการไต่สวนคดี ทั้งนี้ได้ตั้งคณะอนุกรรมการกว่า 900 คน เพื่อขับเคลื่อนงานด้านพิจารณาไต่สวนคดี โดยได้มอบแนวทางให้มุ่งเน้นการทำงานแบบ 5 ส. ประกอบด้วย สามารถ สุจริต สากล สร้างสรรค์ และสามัคคี มาใช้ในด้านป้องกันการทุจริต การปราบปรามการทุจริต การตรวจสอบทรัพย์สิน การจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประเด็นการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 คือตั้งแต่ พ.ศ. 2561 - 2565 และการพัฒนาองค์กร
ทั้งนี้ ด้านการปราบปรามการทุจริต ขณะนี้มีคดีที่อยู่ระหว่างไต่สวนข้อเท็จจริง 2,132 เรื่อง อยู่ระหว่างแสวงหาข้อเท็จจริงและพยาน 9,839 เรื่อง จึงเป็นเรื่องที่หนักใจ แต่เราจะพยายามรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆให้รอบคอบที่สุด ซึ่งการดำนินการต่อไปในส่วนของการแสวงหาข้อเท็จจริงและการไต่สวนข้อเท็จจริง จะมีการออกเป็นระเบียบเพื่อนิยามคดีใดเป็นคดีเล็ก กลาง ใหญ่ และใหญ่พิเศษ รวมถึงจะกำหนดกรอบและเวลาดำเนินการ รวมถึงขบวนการทำงานด้วย โดยคดีเล็ก และกลาง จะให้สำนักงาน ป.ป.ช.จังหวัด ดำเนินการทั้งหมดก่อนสรุปเพื่อเสนอต่อที่ประชุม ป.ปช.ชุดใหญ่วินิจฉัย
ส่วนสำนักงาน ป.ป.ช.ส่วนกลางจะรับผิดชอบคดีสำคัญที่ใหญ่ หรือคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ จะต้องดำเนินการให้เร็วมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ตั้งเป้าว่าในปีนี้ ป.ป.ช.จะสามารถเคลียร์คดีไต่สวนที่ค้างคา ได้เป็นสองเท่าของปีที่แล้ว หรือประมาณ 500 คดี
ด้านการตรวจสอบทรัพย์สิน มีแนวคิดจัดตั้งสำนักคดีร่ำรวยผิดปกติ เพื่อทำหน้าที่ในการไต่สวนคดีร่ำรวยผิดปกติโดยเฉพาะ รวมถึงสำนักไต่สวนคดีทรัพยากรธรรมชาติ คาดว่าภายใน 1-2 ปีนี้ จะสามารถจัดตั้งได้เป็นรูปธรรม เบื้องต้นจะมีการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละด้านเพื่อให้เกิดความชัดเจน และผลักดันให้คดีในส่วนนี้เกิดความรวดเร็ว
สำหรับกรณีที่ ประธาน ป.ป.ช.ถูกวิจารณ์ว่ามีความใกล้ชิดผู้ใหญ่ใน คสช.นั้น ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เนื่องจากตนทำหน้าที่เป็นเลขารองนายกรัฐมนตรี และตนเป็นฝ่ายอาสาเพื่อมาทำงานด้านนี้ ทั้งนี้ขอให้มองผลงานระยะยาวในการทำงานมากกว่า
“ใกล้ชิดอยู่แล้ว เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ทาบทามให้ผมเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เนื่องจากมองว่าผมมีประสบการณ์สามารถช่วยกลั่นกรองงานได้ โดยขณะนี้เป็นช่วงรัฐบาลพิเศษ การที่ตเข้าไปทำงานดังกล่าวเพื่อประเทศชาติก็เต็มใจที่จะทำ แต่เมื่อมีการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. ผมก็เห็นว่าเป็นโอกาสอีกครั้งที่จะทำงานให้ประเทศได้ จึงลาออกจาก สนช.และตำแหน่งอื่นๆ”
นอกจากนี้ พล.ต.อ.วัชรพลยังยอมรับว่าถูกตรวจสอบมากกว่าใคร และทุกอย่างก็จบไปแล้ว และพูดมาหลายครั้งเรื่องการสนิทสนม ตนเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักกันบ้าง แต่การปฏิบัติต่างหากจะทำอย่างไรให้ถูกต้อง ซึ่งถูกสอดส่อง จากทั้งสื่อมวลชนและอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าทำไม่ดีก็จะถูกดำเนินคดีมีโทษเป็นสองเท่า จึงไม่เอาเกียรติประวัติการเป็นข้าราชการที่ผ่านมามาทำอะไรไม่ถูกต้องแน่ ยืนยันยิ่งถูกเฝ้ามอง ยิ่งมุ่งมั่น ส่วนที่มีการครหาว่าใน ป.ป.ช.มีอดีตตำรวจสองคน จะมีการนำวัฒนธรรมขององค์กรตำรวจมาใช้ที่ ป.ป.ช.หรือไม่นั้น เห็นว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งดีงามและมันเสียหายอะไร
พล.ต.อ.วัชรพลยังกล่าวถึงกรณีแอบอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร เรียกค่าหัวคิวในโครงการขุดลอกคูคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ว่า เลขาธิการ ป.ป.ช.จะมีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริงในประเด็นต่างๆ เพื่อนำมาพิจารณาว่ามีมูลหรือไม่ หากมีมูลก็จะสามารถดำเนินการตรวจสอบได้ทันที โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีผู้ร้องเรียน เช่นเดียวกับในกรณีของการติดตั้งไฟแอลอีดีประดับลานคนเมืองมูลค่า 39 ล้านบาทของ กทม.
ในส่วนของความคืบหน้า คดีจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ชุมนุมของ น.ส.ยิ่งลักษ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คาดว่าจะดำเนินการเสร็จเร็วๆ นี้ เนื่องจากคดีมีความชัดเจนในข้อกฎหมาย
ขณะที่ความคืบหน้าการตรวจสอบโครงการสร้างไฟคนเมือง กทม.ที่ใช้งบประมาน 39 ล้านบาทนั้น ป.ป.ช.ให้ความสำคัญอย่างมาก และเตรียมเชิญผู้เกี่ยวข้องมาชี้แจงอย่างไรก็ตาม วันนี้ยอมรับว่าตนมีความหนักใจในเรื่องปริมาณคดีที่คงค้างซึ่งส่วนใหญ่เป็นคดีการทุจริต
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบอุทยานราชภักดิ์นั้น ขณะนี้กำลังรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง เพื่อเสนอคณะกรรมการให้วินิจฉัย
ด้านนายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ว่า หลังจาก ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนมาแล้ว ได้ดำเนินการสอบปากคำผู้กล่าวหาโดยได้แจ้งมาเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วว่าประสงค์ร้องใคร ข้อหาอะไร เวลานี้รับทราบแสดงข้อเท็จจริงผลสอบจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงกลาโหมแล้ว แต่ป.ป.ช.อยากจะดูเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานงานโดยตรงไปยังกระทรวงกลาโหม
ขณะที่การตรวจสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งว่าพบมีข้อเท็จจริงนั้น ทาง ป.ป.ช.ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการขอข้อมูลเพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิจารณาว่าจะต้องสอบอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงชัดเจน แล้วส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.วินิจฉัยต่อไป