สมาพันธ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัย ยื่นหนังสือผู้ตรวจการฯ ตรวจสอบและชะลอการบังคับใช้ พ.ร.บ.รปภ. ระบุมีข้อบกพร่อง ริดรอนสิทธิผู้ประกอบอาชีพ ขัดหลักสิทธิพื้นฐาน
วันนี้ (15 ก.พ.) สหพันธ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัย นำโดยนายธนพล พลเยี่ยม เลขาธิการ เข้ายื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ผ่านนายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ตรวจสอบและเสนอชะลอการบังคับใช้ พ.ร.บ.ธุรกิจรักษาความปลอดภัย 2558 ที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วและจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 4 มี.ค. 2559
นายธนพลกล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวมีข้อบกพร่องหลายประการซึ่งจะกระทบต่อการปฏิบัติตามกฎหมายของผู้ประกอบการธุรกิจรักษาความปลอดภัย ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่เจตนาของผู้ประกอบการ รวมถึงมีบางมาตราที่เป็นการลิดรอนสิทธิในการเลือกประกอบอาชีพ เพราะความด้อยการศึกษาซึ่งขัดกับหลักสิทธิขั้นพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตย
“พ.ร.บ.ฉบับนี้มุ่งควบคุมผู้ประกอบการและผู้ประกอบอาชีพรักษาความปลอดภัยเหมือนเป็นอาชญากร มีการกำหนดให้ต้องรับโทษจำคุก ทั้งที่การประกอบอาชีพนี้เป็นเรื่องทางแพ่ง เป็นเรื่องการปฏิบัติตามสัญญาจ้าง ไม่ใช่เรื่องอาญา ขณะเดียวกัน มีการกำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่า ตั้งแต่ปี 2562 ผู้ที่จะเป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องมีความรู้ขั้นต่ำตามการศึกษาภาคบังคับ คือ ม.3 ก็จะทำให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยหายไปจากธุรกิจนี้ประมาณ 240,000 คน เนื่องจากเป็นผู้ที่ไม่จบ ม.3 ซึ่งก็ต้องมีปัญหาเรื่องค่าชดเชยตามมา และการกำหนดว่าบริษัทรักษาความปลอดภัยต้องให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในพื้นที่บริษัทที่บริษัทรักษาความปลอดภัยไปดูแลรับผิดชอบอยู่ โดยไม่ต้องมีหมายค้น ทำให้บริษัทรักษาความปลอดภัยเสี่ยงถูกปรับจากบริษัทคู่สัญญาจ้าง รวมถึงกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้มีการบัญญัติครอบคลุมการเข้ามาทำธุรกิจรักษาความปลอดภัยขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกที่เป็นหน่วยงานของรัฐ กลายเป็นการเอาเปรียบไม่เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม”
ดังนั้น สหพันธ์ฯ จึงขอให้มีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวออกไประยะหนึ่ง โดยให้คณะกรรมการกำกับธุรกิจรักษาความปลอดภัย เป็นศึกษาผลกระทบที่จะเกิดกับผู้ประกอบการ ผู้ประกอบอาชีพพนักงานรักษาความปลอดภัย และบริษัทผู้ว่าจ้างรักษาความปลอดภัย ให้รอบด้านและแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง