ป้อมพระสุเมรุ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา”ถือเป็นกระทรวงที่ค่อนข้างโลว์โปรไฟล์ในยุค“รัฐบาลคสช.”ทั้งที่เนื้องานน่าจะหวือหวา สร้างสีสันได้มากกว่าอีกหลายๆ กระทรวง แต่ดูเหมือน“เจ๊น้อง”กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร เจ้ากระทรวงจะถนัดแต่งาน“เอาหน้า”จนเคยได้รับฉายา “มาดามน้อง จองอีเว้นต์”มาแล้ว
แต่ที่ยังเหนียวแน่นหนึบมาได้ไม่ถูกปรับพ้นครม. “ตกงาน”ไปพร้อมกับเซ็ตของ“ชายอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ส่วนหนึ่งก็เพราะ “เจ๊น้อง”ถือเป็นสายตรงไม่กี่คนในครม.ของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ถึงกับเคยได้ยินกับหูว่า“บิ๊กตู่”เรียก “กอบกาญจน์”ว่า“น้องสาวผม”กันเลยทีเดียว
แต่ล่าสุด น้องสาวคนดีกลับทะเล่อทะล่า“เรียกแขก”ให้รัฐบาล และทำให้กระทรวงท่องเที่ยวฯกลายเป็น“ตำบลกระสุนตก” หลายเรื่องชักถาโถมเข้ามาให้เป็นประเด็นกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกรณีทุ่มงบ 1.8 ล้านบาท จัดงานประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง หรือเทียบเท่า ที่มี“บิ๊กตู่”เป็นประธาน หนีไม่พ้นโดนจวกกันยับ ใช้งบฯไม่เข้าท่า เศรษฐกิจยิ่งทรงๆ ทรุดๆ ประชุมไม่กี่ชั่วโมง ถึงกับต้องเวอร์วังอลังการ ขนาดต้องใช้งบเฉียด 2 ล้านบาท ระดม“ผักชี”มาโปรยจนเต็มกระทรวง ล้นออกไปถึงถ.ราชดำเนิน เพื่อเตรียมการกันเลยหรือ เหน็บแนมกันระงม งานนี้ตั้งใจประจบ“พี่ตู่”หรือเปล่า
อีกคนก็อาการหนักพอกัน ในคิวที่“ไก่อู”พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นมาแก้ตัวแทน กรณีที่สื่อเข้าไปตรวจสอบงบดังกล่าว แบบกระแทกแดกดัน “ผมมีความรู้สึกว่า ถ้าเป็นกระจกเงาที่จะสะท้อนสังคม มันต้องเป็นกระจกบานใหญ่ ถ้าเป็นกระจกบานเล็กๆ มันได้แค่ดูสิว ดูขนคิ้ว ดังนั้นคุณจะเป็นกระจกบานเล็กที่ดูแค่สิว หรือเป็นกระจกบานใหญ่ที่ดูทั้งตัว”
แทนที่คำแก้ตัวจะเป็นบวก ฟีดแบกที่ตีกลับใส่“ไก่อู”กลับเป็นลบ เพราะเรื่องการตรวจสอบเป็นเรื่องที่ทุกคนควรทำ โดยเฉพาะรัฐบาลทหาร จะโกงมากโกงน้อย หรือโกงแม้กระทั่งสิว สุดท้ายมันก็คือ“โกง”ดังนั้นควรเปิดอ้าเพื่อความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ออกมาด่ากลับคนตรวจสอบอย่างที่นักการเมืองชอบทำกัน
แถม“เสธ.ไก่อู”ยังทะลึ่งเอาเรื่องผลาญงบฯ 1.8 ล้านบาท ไปเทียบกับ“โกงจำนำข้าว” จนเสียเครดิต“โฆษกรัฐบาล”ที่พูดจาไร้เหตุผล เชื่อมโยงรัฐบาลเก่าจนเลอะเทอะเอาเป็นว่า รอดูสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบว่า กระบวนการจัดจ้าง ผิดเงื่อนไขหรือไม่ และเกินความจำเป็นหรือไม่ก็แล้วกัน น่าจะดีกว่า
อีกเรื่องที่คนไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่เกี่ยวข้องกับกระทรวงท่องเที่ยวฯ โดยตรง ก็เรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังเพราะเป็นรายได้หลักที่ช่วยประเทศอยู่ สารพัดแคมเปญ กวักมือเรียกนักท่องเที่ยวให้ไหลเข้าประเทศทำกันต่อเนื่อง จนยอดตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงปรี๊ด ปีก่อน “เจ๊น้อง”เทียวไล้เทียวขื่อสนามบิน เพื่อไปคล้องมาลัยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในโครงการ“ทุกล้านคน ลุ้นเที่ยวฟรีเมืองไทย”ไม่เว้นสัปดาห์ จนท้ายที่สุดมียอดนักท่องเที่ยวทะลุเป้าเหยียบ 30 ล้านคน
แน่นอนกระทรวงท่องเที่ยวฯโดย“มาดามน้อง”ไม่พลาดที่จะเคลมตัวเลขนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน ว่าเป็นผลงานอันเอกอุของตัวเองในจำนวนนี้ต้องถือว่ามี“ชาวจีน”เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดนักท่องเที่ยว ของกระทรวงท่องเที่ยวฯ ทะลุเพดาน
นับวัน“ชาวจีน”จะเข้ามาเที่ยวประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆทุกปี ครองแชมป์เป็นเบอร์หนึ่งทุกปี ยิ่งยุค“บิ๊กตู่”ที่กอดคอกันแน่นกับ “มังกรจีน”เข้ามาเท่าไร ไทยก็ไม่หวั่น พร้อมทักทาย“หนีห่าวว ยินดีต้อนรับ”ทุกคน
น่าสังเกตว่า ทุกวันนี้เวลาเดินไปไหนมาไหน เห็นมีแต่นักท่องเที่ยวชาวจีนเยอะแยะไปหมด บางพื้นที่คนไทยน้อยกว่าด้วยซ้ำ เยอะจนเดี๋ยวเกิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ ให้วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่บ่อยๆ กับสไตล์การท่องเที่ยวแบบ“จีนๆ”
จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้าๆมากันแบบทะลัก โดยธรรมชาติย่อมสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยปีๆ หนึ่ง คงจำนวนไม่น้อยทีเดียว แต่ก็เริ่มมีการตั้งคำถามเหมือนกันว่า เม็ดเงินที่มีการเปิดเผยกันออกมาว่า โกยเงินจากนักท่องเที่ยวจีนได้ปีๆ หนึ่ง หลายล้านบาทนั้น ตกถึงท้องคนไทยจริงหรือไม่ ?
เพราะทุกวันนี้“นายทุน-นักธุรกิจ”ชาวจีนที่เข้ามาลงทุนธุรกิจท่องเที่ยวในไทยมีจำนวนไม่น้อย เรียกว่า เริ่มตั้งแต่บินลัดฟ้ามาจากจีนก็มีบริษัททัวร์พามา ล้อแตะสนามบิน ก็มีรถบัสของบริษัททัวร์มารับ โรงแรมก็นอนตามที่บริษัททัวร์วางเอาไว้ แม้กระทั่งรับประทานข้าว ก็ล็อกร้านไว้ให้ ยังไม่นับรวมของที่ระลึก
ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะเป็นการเที่ยวในลักษณะของแพกเกจทัวร์ เพียงแต่ ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร บริษัททัวร์ เหล่านี้เป็นของคนไทยหรือไม่
โดยพบว่า ตอนนี้ในเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ มีกลุ่มทุนของจีนเข้าไปลงทุนจำนวนมาก ทั้งโรงแรม ร้านอาหาร บริษัทรถเช่า ร้านขายของที่ระลึก ร้านนวดแผนโบราณ โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต เชียงใหม่ และพัทยา ซึ่งบางแห่งทำเป็นลักษณะของ“นอมินี” ใช้คนไทยบังหน้า แต่เจ้าของจริงเป็นชาวจีน
เรื่องการท่องเที่ยว การชอปปิง ก็พาไปในที่ที่ตัวเองกำหนดเอาไว้ ซึ่งก็คือธุรกิจของตัวเองอีก ชนิดที่เรียกว่า “เจี๊ยะรวบ”ทั้งขึ้นทั้งล่อง พานักท่องเที่ยวมาเที่ยวได้เงินแล้ว ก็ยังได้เงินจากนักท่องเที่ยวในส่วนของการซื้อของฝาก ของกิน ที่ตัวเองเปิดไว้อีกต่อ แล้วอย่างนี้ตัวเลขที่เผยๆ กันออกมา มันเข้ากระเป๋าคนไทยทุกบาท ทุกสตางค์ จริงหรือไม่ แล้วนอกจากไม่ได้ ทรัพยากรธรรมชาติตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ยังได้รับความเสียหายจากนักท่องเที่ยวชาวจีนบางส่วนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ อีกด้วย
ยังไม่รวมถึงกรณีกลุ่มมัคคุเทศก์ต่างชาติผิดกฎหมาย ที่กำลังระบาดหนัก ทำงานกันอย่างโจ๋งครึ่ม ไม่เกรงกลัวอะไร จนตำรวจโดนค่อนแคะว่า มีผลประโยชน์ทับซ้อน มีอะไรใต้โต๊ะกันหรือไม่
การเข้ามายึดพื้นที่ธุรกิจท่องเที่ยวไทยของกลุ่มทุนจีน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แน่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทำอะไรสักอย่าง ไม่ใช่หวังแค่จะเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยวอย่างเดียว ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการครอบงำธุรกิจท่องเที่ยวในไทย จนสร้างความเสียหายต่อภาคท่องเที่ยว และภาคธุรกิจในอนาคต
มันจะเข้าอีหรอบนอกจากเงินไม่ได้จากนักท่องเที่ยวจีนแล้ว เขายังเข้ามาโกยเงินคนไทยกลับไปประเทศจีนอีกด้วย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจธรรมดาๆ แต่มันคาบเกี่ยวกับประเด็นด้านความมั่นคงด้วย ขืนปล่อยไว้จะทำให้ไทยต้องเผชิญกับปัญหามาเฟีย อย่างที่เราเคยเผชิญมาแล้วตอนมาเฟียรัสเซีย ที่พัทยา จ.ชลบุรี ซึ่งบางทีในกรณีของจีนอาจหนักหนาสาหัสกว่า
รัฐบาล โดยเฉพาะ“กอบกาญจน์”ต้องตั้งสติและตรอง ไม่ใช่จะเน้นตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวอย่างเดียว จะมีความหมายอะไรถ้าเข้ามามาก แต่เงินไม่ตกถึงท้องคนไทยเลย แล้วมันจะเป็นการสร้างรายได้ให้ประเทศได้อย่างไร
กรณีนี้เจ้าหน้าที่รู้กันดีว่า มันมีปัญหาอยู่ แต่เหมือนตั้งใจเพิกเฉยกันเสียมากกว่า ที่จริงเรามีกฎหมายที่ควบคุมเรื่องการประกอบอาชีพของนักลงทุนต่างชาติอยู่แล้ว แต่แทบไม่เคยถูกบังคับใช้ หรือไม่ก็หย่อนยานเกินไป ดังนั้น ถ้าไม่ให้เสียหายไปกว่านี้ต้องขันน็อต ปราบกันจริงจัง
“บิ๊กตู่”และ“กอบกาญจน์”อย่าไปอินกับภาพทัวร์จีนเป็นหมื่นๆ มาเที่ยวไทย แต่ช่วยไปอินกับผู้ประกอบการ ชาวบ้าน ที่กำลังได้รับผลกระทบ ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับว่า รัฐบาลชุดนี้ได้สร้างปัญหาอันใหม่ทิ้งเอาไว้
แล้วต้องทบทวนงบประมาณที่เอาไปใช้ประชาสัมพันธ์ท่องเที่ยวให้คนจีนมาไทย เราใช้เยอะเกินไปหรือไม่ เมื่อเทียบกับรายได้ที่เข้ากระเป๋าคนไทยเพียงน้อยนิด