ผู้นำประเทศ รัฐมนตรี นักธุรกิจต่างชาติ ชักแถวพบ “ประยุทธ์” แน่นทั้งสัปดาห์
พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในรอบสัปดาห์นี้ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมให้การต้อนรับแขกต่างประทศหลายคณะ โดยเริ่มแต่วันจันทร์ที่ 1 ก.พ. 59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะให้การต้อนรับนายอะคิโอ มิมุระ ประธานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น นำคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นชั้นนำกว่า 60 บริษัท เข้าเยี่ยมคารวะและรับฟังนโยบายการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในไทย โดยคณะนักธุรกิจญี่ปุ่นพร้อมที่จะแสวงหาโอกาสและลู่ทางเพื่อเพิ่มปริมาณการค้าและการลงทุนในไทย สะท้อนเห็นถึงความเชื่อมั่นของภาคเอกชน นักลงทุนญี่ปุ่นที่มีต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของไทยและยังคงให้ความสำคัญกับไทยในฐานะศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้
ส่วนวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีจะพบกับเซอร์ไซมอน แม็กโดนัลด์ ปลัดกระทรวงต่างประเทศ สหราชอาณาจักร เพื่อหารือถึงความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทย-อังกฤษ
พล.ต.วีรชนกล่าวว่า ขณะนี้แม้ไทยยังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และสหราชอาณาจักรจะเป็นแม่แบบประชาธิปไตยตะวันตกก็ตาม สหราชอาณาจักรและพันธมิตรตะวันตกผู้แทนจากทั้งภาครัฐและเอกชน ก็ยังติดต่อทั้งทางการทูตและธุรกิจกับภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อคงรักษาโมเมนตัมความสัมพันธ์กับไทยอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ในวันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรีจะให้การต้อนรับการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรองประธานาธิบดีอินเดีย หนึ่งในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองของภูมิภาค ถือเป็นการเยือนไทย ในระดับสูงของรัฐบาลอินเดียในรอบหกทศวรรษ ยืนยันนโยบายมองตะวันออก Look-East ซึ่งสอดรับกับนโยบายมองตะวันตกของไทย เพื่อรองรับบทบาทศูนย์กลางของอาเซียนอย่างแท้จริง
โอกาสนี้ รองประธานาธิบดีได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอินเดียให้ดูแลงานด้านต่างประเทศ และมองว่าไทย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีบทบาทนำในอาเซียนและต้องการที่จะร่วมมือกับไทยในเรื่องต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากที่ตั้งของไทยเพื่อเป็นจุดเชื่อมโยงทางคมนาคมระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออก
จากนั้น ในวันที่ 3 ก.พ.นายกรัฐมนตรียังจะพบกับเอกอัครราชทูตจากสาธารณรัฐเกาหลีใต้ เพื่อรับฟังนโยบายและทิศทางบริหารประเทศ พร้อมรับทราบศักยภาพของไทยด้านเศรษฐกิจและต้องการกระชับความร่วมมือด้านอื่นๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำในหลายโอกาสว่า แม้รัฐบาลจะเข้ามาบริหารประเทศเฉพาะกาล แต่ทุกองคายพจะต้องทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนประเทศอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีเป้าสำคัญคือ ไทยยังคงต้องเป็นผู้เล่นที่คงบทบาทสำคัญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ในเวทีโลกและภูมิภาคต่อไป