อดีต สปช. มองร่างแรก รธน. ลดบทบาทสภา - ครม. เป็นแค่ตัวประกอบ รบ. บริหารชาติเจอกับดักเต็มไปหมด ตั้งฉายาร่าง ศาล รธน.- องค์กรอิสระ เป็นใหญ่ มองแก้ยาก เพราะเขียนโยงกระจายทุกหมวด แนะเริ่มใหมคัด ส.ส.ร. มาร่าง ลั่นไม่งั้นขัดแย้งไม่จบ
วันนี้ (31ม.ค.) นายบุญเลิศ คชายุทธเดช อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า ร่างแรกของ รธน. ได้ลดบทบาทรัฐสภา และ ครม. ลงเหลือแค่ตัวประกอบของระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นสถาบันหลักแห่งอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย พรรคการเมือง และนักการเมือง หรือ ส.ส. แม้ประชาชนเลือกให้มาทำหน้าที่ทางนิติบัญญัติ และตั้งรัฐบาลก็ถูกควบคุม บ่อนเซาะตั้งแต่ลงสมัครรับเลือกตั้งแบบให้กาบัตรใบเดียว เมื่อเป็นรัฐบาลก็บริหารประเทศไม่ได้ เพราะเจอกับดักเต็มไปหมด นโยบายพรรคนำมาปฏิบัติไม่ได้ถ้าไม่เป็น รธน. หรือตามกฎหมายยุทธศาสตร์ชาติ จะแก้ รธน. ก็ทำไม่ได้ องค์กรที่เป็นใหญ่กลับกลายเป็นองค์กรอิสระทั้งหลาย จึงขอตั้งฉายาร่าง รธน. ฉบับ “ศาล รธน. และองค์กรอิสระ เป็นใหญ่ในแผ่นดิน”
นายบุญเลิศ กล่าวว่า นายมีชัย บอกว่า ให้เสนอแนะมาว่าจะให้แก้เรื่องอะไร ประเด็นไหน ตนเห็นว่า ร่าง รธน.ที่ออกมานี้ ไม่สามารถเสนอแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือรายประเด็นได้ เนื่องจากเขียนร้อยเรียงผูกมัดเชื่อมโยงเหมือนห่วงโซ่ หรือตาข่าย กระจายไปอยู่ทุกหมวด นอกจากจะต้องเขียนใหม่โดยยืนบนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตย ฟังเสียงประชาชนให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการร่างอย่างแท้จริง อาจต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่การให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญมาร่าง ผ่านการคัดสรร ส.ส.ร. ที่ทุกฝ่ายยอมรับ เสร็จแล้วจึงค่อยนำไปลงประชามติ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ปัญหาความขัดแย้งไม่จบ ไม่มีวันจะได้ รธน. ที่สร้างความปรองดองและการปฏิรูปประเทศได้สำเร็จ
“รธน. ปี 40 บัญญัติให้แก้ไขได้ง่ายโดยเขียนว่า เมื่อครบ 5 ปี ให้ กกต. ศาล รธน. หรือป.ป.ช. ทำรายงานเสนอความเห็นต่อรัฐสภา และ ครม. เกี่ยวกับการแก้ไข รธน. หรือกฎหมายอื่นได้ แต่ในร่างนี้เขียนไว้ให้ยากหรือแก้ไม่ได้ บทเรียนมีมาแล้ว คือ รธน. ปี 50 แก้ไม่ได้ กระทั่งเกิดวิกฤตอยู่หลายปี สุดท้ายก็ฉีก รธน.”