นายกรัฐมนตรีระบุทั้งโลกกำลังประสบปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากแหล่งน้ำ ภูเขา ป่าไม้ ระบบนิเวศทางธรรมชาติถูกบุกรุก จากการปล่อยปละละเลยของผู้มีอำนาจในอดีต ห่วงเกษตรกรได้รับผลกระทบ วอนประชาชนช่วยประหยัดน้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน ฉบับที่ 19 ม.ค. ถึงวันที่ 1 ก.พ. 2559 คอลัมน์จากใจนายกรัฐมนตรี โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ระบุว่า “สวัสดีครับพี่น้องประชาชนที่รักทุกท่าน 3 ใน 4 ของเปลือกโลกเป็นผืนน้ำ จากน้ำทั้งหมดนี้ เป็นน้ำกินน้ำใช้สำหรับมนุษย์ เพียงไม่ถึงร้อยละ 3 ในขณะที่ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 70 ผมอยากให้พี่น้องได้เห็นความจริงของธรรมชาติ เห็นความสำคัญของน้ำ ว่าเป็นทรัพยกรที่แม้มีอยู่มาก แต่นำมาใช้ประโยชน์ได้น้อย นับวันยิ่งจะร่อยหรอ เพราะเราผลิตน้ำเองไม่ได้ แต่ธรรมชาติสร้างน้ำให้เราครับ
ทั้งโลกกำลังประสบปัญหา “ภัยแล้ง” เนื่องจากแหล่งน้ำ ภูเขา ป่าไม้ ระบบนิเวศทางธรรมชาติถูกบุกรุก ทำลาย เสียสมดุล ทำให้ภูมิอากาศถูกเปลี่ยนแปลง และน้ำเริ่มจะมีไม่พอสำหรับการอุปโภคบริโภคของมนุษย์
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม “ทรัพยากรน้ำ” จึงเปรียบเสมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงประเทศ ขาดซึ่ง “น้ำต้นทุน” แล้วปัญหาเชื่อมโยงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมก็ตามมา อาทิ เกิดการแย่งน้ำ เหนือน้ำ-ท้ายน้ำทะเลาะกันผลผลิตตกต่ำ สิ้นค้าราคาแพง กระทบทุกอาชีพ ผมเป็นห่วงที่สุดไม่เพียงพี่น้องเกษตรกร แต่รวมทั้งผู้มีรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ อาชีพอิสระไม่มั่นคง ได้รับผลกระทบทางอ้อมกันถ้วนหน้า
ความผิดพลาดใน “อดีต” นอกจาการปล่อยปละละเลยให้มีการบุกรุกผืนป่าของพี่น้อง ผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างไร้การควบคุม ไม่มีการโซนนิ่ง อาทิ ยางพารา ปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง โดยเฉพาะที่มีนายทุนหนุนหลังแล้ว กระตุ้นให้เกิดการแผ้วถางป่าสมบูรณ์ ป่าสงวน เป็นทั้งการทำลายแหล่งต้นน้ำลำธาร ทั้งทำให้ฟ้าฝนปรวนแปรเป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมและภัยแล้ง ยากแก่การป้องกันคอยแต่แก้ไข ใช้งบประมาณไม่มีประสิทธิภาพครับ
การแก้ไขปัญหาใน “ปัจจุบัน” รัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างความสมดุล ให้กับการใช้น้ำทั้งระบบ 1. ภาคการผลิต ทั้งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม โดยการทำฝนเทียม พัฒนาแหล่งน้ำ-เขื่อน-ฝาย ขุดลอกคูคลอง วางระบบชลประทาน สร้างแก้มลิง-บ่อขนมครกตามแนวทางพระราชดำริ ปรับพฤติกรรมการเกษตร-ไร่นาสวนผสม-โซนนิ่ง-ปลูกพืชใช้น้ำน้อย-เกษตรน้ำหยด 2. ภาคครัวเรือน-น้ำอุปโภคบริโภค อาทิ การขุดบ่อบาดาลหมู่บ้าน ประปาชุมชน และ 3. การรักษาสมดุลทางธรรมชาติ ผลักดันน้ำเค็ม เป็นต้น
การสร้างความยั่งยืน สำหรับ “อนาคต” อีก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ด้วยแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการทั้งระบบ 10 ปี ที่ขยายขอบเขตในมิติพื้นที่และเวลา จากการแก้ปัญหาเร่งด่วน อาทิ 1. การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ 2. การบำบัดฟื้นฟูน้ำเสีย 3.การจัดทำฐานข้อมูล-เทคโนโลยีสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เพื่อการบริหารจัดการและป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การช่วยกัน “ประหยัดน้ำ” เป็นมาตรการที่ดีไม่ต้องลงทุน แต่มีประสิทธิภาพี่สุด ในการอนุรักษ์ให้มีน้ำไว้ใช้อย่างยั่งยืน ไม่แล้ง ไม่เหือดแห้งนะครับ”