คณะรัฐมนตรีอวยพรนายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในที่ประชุม ก่อนที่ ผบ. เหล่าทัพ และข้าราชการตบเท้าเข้าอวยพร เจ้าตัวระบุของขวัญปีใหม่แก่ประชาชนแบ่งกันแต่ละส่วน ให้ชนชั้นกลางซื้อของราคาถูก ยอมเสียรายได้รัฐเพื่อสร้างความเข้มแข็ง เกิดวงจรการผลิต พร้อมระบุเคานต์ดาวน์อยู่กับบ้าน ถ้าไปดูไฟ รปภ. สักร้อยคนจะไหวไหม ฝากทุกคนคิดใหม่ทำใหม่ ช่วยกันปฏิรูปประเทศชาติ อีกด้านหนึ่งเขียนบทความในจดหมายข่าวรัฐบาล ย้ำปีหน้าสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติ
วันนี้ (29 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำสัปดาห์ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานการประชุม ถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2558 ก่อนเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ 2559 โดยก่อนการประชุม ครม. วันนี้ ในที่ประชุม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้เป็นตัวแทน ครม. มอบช่อดอกไม้ให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ พร้อมกล่าวอวยพรเนื่องในเทศกาลปีใหม่ ขณะที่ตั้งแต่เวลา 16.00 น. บรรดารัฐมนตรีแต่ละกระทรวง ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และข้าราชการต่างตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่นายกรัฐมนตรี ที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
เมื่อเวลา 14.45 น. ภายหลังการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงของขวัญปีใหม่ที่มอบให้กับประชาชน ว่า เรื่องของขวัญปีใหม่ที่มอบให้ไปทุกคนจะได้เหมือนกันหรือได้เท่ากันไม่ได้ เป็นการแบ่งกันแต่ละส่วน ในส่วนของคนรายได้น้อยได้ให้มาตรการช่วยเหลือไปแล้ว ก็ต้องมาดูในส่วนของคนที่มีรายได้อีกส่วนหนึ่ง จะสามารถซื้อของในราคาถูกได้หรือไม่ ซึ่งรัฐก็ต้องสูญเสียรายได้ตรงส่วนนี้ไป แต่ถ้าบอกว่ารัฐทำแล้วเสียหาย แล้วที่ต้องช่วยไปหมดไปเยอะ ๆ เพื่อช่วยสร้างความเข้มแข็ง เหล่านี้มันไม่เสียหรือ แต่เป็นการเสียเพื่อความเข้มแข็ง แต่ส่วนนี้เป็นการเสียเพื่อให้เกิดวงจรการผลิตมากขึ้น ถ้าไม่มีคนซื้อโรงงานก็เจ้งหมด นี่คือเหตุผลหลัก ประชาชนก็มีความสุขที่ได้ออกไปจับจ่ายใช้สอย บางคนไม่เคยออกจากบ้านเลยก็ได้ออกไป และตนไม่ได้ไปเอื้อประโยชน์ให้กับห้าง
นายกฯ กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่า “ปีใหม่ไปเที่ยวไหนกันบ้าง ให้ระวังและวางตัว ช่วยกันดูแลด้วย ไม่ใช่ไปเที่ยวอย่างเดียว ติดกล้องไปด้วยเผื่อพบใครที่หน้าสงสัยจะได้ช่วยกันบันทึกภาพ ไม่ใช่ถ่ายแต่หน้าผมทั้งวัน ผมไม่ใช่ดารา” ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงปีใหม่นายกฯไปเคาท์ดาวน์ที่ไหน นายกฯ กล่าวว่า ที่บ้าน เมื่อถามอีกว่าไม่ไปดูไฟหรืออย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่เคยเห็นหรือไฟ ถ้าตนไป มี รปภ. สักร้อยคนจะไหวไหม ทีวีก็มี ตนไม่เคยไปไหน จำได้ว่าตลอดชีวิตตั้งแต่เด็ก ๆ จนเป็นร้อยตรี ร้อยโท ก็ตามประสาหนุ่ม แต่งงานแล้วก็เที่ยวน้อยลง มีความรับผิดชอบ อิสระจนเคย ถ้าเราไม่มีสติยับยั้งตนเองมันอยู่ไม่ถึงวันนี้หรอก พอเริ่มโตมาก็ได้ไปถวายงาน ทุกปีใหม่ก็ได้อยู่กับพระองค์ท่าน ตนไม่เคยไปไหน
“ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ผมอยากให้ทุกคนคิดใหม่ทำใหม่ ช่วยกันปฏิรูปประเทศชาติ ในเวลาอีกปีครึ่งของผม เพื่อให้ส่งต่อรัฐบาลหน้าให้ได้ มีการเลือกตั้งให้ได้ ให้มีรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติ อย่าให้ผมต้องมาตัดสินใจอีกเลย อยู่ที่ประชาชนตัดสินใจ จะเลือกประเทศหรือเลือกอิสระ เสรี ร้อยเปอร์เซ็นต์อะไรก็ว่ามา เลือกแบบนั้นผมก็จนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร” นายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวกับข้าราชการที่เข้าร่วมอวยพรเนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2559 ว่า วันนี้ประเทศไทยตกกับดักอยู่เรื่องเดียว คือ การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งตนเคยเป็นอดีตข้าราชการ จึงเข้าใจการทำงานแต่สิ่งที่ตั้งเจตนารมย์เสมอไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตามจะทำประโยชน์ให้มากที่สุดเพื่อประเทศชาติและหน่วยงาน ตนเองไม่กลัวอะไรทั้งสิ้นเพราะถือเป็นชะตากรรม เพราะฉะนั้นการเจอกันครั้งนี้ถิอเป็นชะตากรรมร่วมกัน มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้ขอขอบคุณในสิ่งที่ร่วมทำกันมา และขอขอบคุณแทนประชาชน ที่ข้าราชการช่วยกันทำให้มองเห็นอนาคต ซึ่งตนไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดและคิดถูกหรือผิด แต่ด้วยเจตนาบริสุทธิ์คาดหวังว่าผลสัมฤทธิ์ที่ออกมาจะเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนโดยร่วม จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนที่ต้องนำไปสู่การปฏิบัติหรือขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด ซึ่งตนเองอยากให้เวลาที่เหลืออยู่ทำให้คุ้มค่าที่สุด
“การทำงานจะเกิดไม่ได้เลย จะเสียเปล่า เสียเวลา เสียสมอง เสียความรู้สึกต่อกันเพราะมันไม่สำเร็จ คนเรามันต้องตั้งเจตนารมย์ว่าในชีวิตเราจะยาวหรือสั้น เราควรมีความสำเร็จติดกับตัวไว้ว่าเราเคยทำอะไรให้คนอื่นบ้าง ทำอะไรเพื่อประเทศบ้าง ส่วนครอบครัวไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกคนต้องทำหน้าที่เพื่อครอบครัวอยู่แล้ว จึงขอฝากไว้ด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ขอโทษข้าราชการหากแสดงกิริยาไม่เหมาะสม หรือไม่คุ้นเคยกับการเป็นทหารของตน ขอให้รู้ว่าตนไม่มีอะไรกับข้าราชการถือว่าเป็นพี่เป็นน้องเสมอมา ตนเองคิดมาตลอดว่าเข้ามา 2 - 3 ปี แล้วทำอะไรให้กับบ้านเมืองบ้าง ตนคิดแค่นั้น วันนี้เราต้องคิดว่าเราทำอะไร วันนี้ต้องเอาสิ่งที่เป็นอดีตมาคิดวจะทำอะไรต่อไป สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาบน ข้าราชการ และประเทศชาติอย่างไร ซึ่งตนเองเข้ามาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีความแตกต่างให้กับประเทศชาติ เพื่อจะได้ร่วมมือกันทำในวันหน้า เพราะฉะนั้นในการทำแบบนี้จึงมีข้อขัดแย้ง มีความไม่เห็นชอบ ซึ่งตนเองเป็นคนรับฟัง โดยสิ่งที่ตนคิดเป็นสิ่งที่เคยเผชิญมาตลอดการรับราชการ 30 - 40 ปี รับใช้มาทุกรัฐบาลแต่ทำไหมถึงไม่ดีเท่าที่คิด คนที่รู้ดีที่สุดคือข้าราชการ วันนี้ต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้เหมือนกับเพลงที่ตนเองขึ้นมาใหม่
“คืนความสุขให้ประเทศไทย กลับมาสู่ประเทศไทยในยุคใหม่ในยุคของเรา ในการทำอย่างไรให้ในอนาคตไม่มีความขัดแย้ง มีความเข้มแข็ง มีทรัพยากรมนุษย์ ในยุคต่อไปเพื่อเป็นตัวของเราในวันหน้า อย่าลืมว่าเราต้องเตรียมความเข้มแข็งให้ประเทศ อันนั้นคือภาระของทุกคน ถึงแม้ตนจะไปแล้วก็ยังเป็นภาระ ประเทศจะอยู่ได้ก็เพราะข้าราชการที่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อย่างไรก็ตามผมคิดเพียงว่า ผมเกิดมาชีวิตเดียว เวลาตายก็ตายชีวิตเดียว ถ้าชาติหน้ามีจริงผมก็เกิดเป็นทหาร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ขอให้ทุกคนรวมพลังคิดแต่สิ่งดี เพื่อจะทำให้ฝ่ายบริหารทั้งหมดไม่ว่าจะใครเข้ามาที่มีดีบ้างไม่ดีบ้าง เพื่อให้เข้ามาทำงานอย่างที่เราทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งว่าทุกหมู่เหล่ามีคนดีมากกว่าคนไม่ดี ทำอย่างไรให้คนไม่ดีไม่ไปรบกวนคนดี หรือทำอย่างไรให้เป็นคนดีขึ้น ซึ่งตนยึดแนวทางนี้มาตลอด
“เราสัญญาไว้ต่อหน้าวัดพระแก้วไว้ว่าเราจะทำอะไร ซึ่งตนคิดว่าเวลาของตนหมดไปตั้งแต่เดือนตุลาคม 57 แล้วที่ต้องเกษียณ ตนอดทนมาได้ 6 เดือนแล้ว แต่ 6 เดือนหลังตนเริ่มทนไม่ไหวจริง ๆ จึงทำให้พวกท่านต้องเหน็ดเหนื่อยบ้าง ช่วงที่ตนเข้ามาอาจทำให้เสียหน้าไปบ้าง ในการที่เข้ามาโดยไม่สง่างาม ตนเข้าใจทุกคนแต่ถ้าเราไม่ช่วยกันไม่เข้าใจกันในตอนนี้ประเทศชาติไปไม่ได้ หรือใครคิดว่าจะดีขึ้นกว่าเดิมถ้าผมไม่มาตรงนี้ ท่านเลขาฯครม.อย่าโกรธผมนะ อะไรก็ตามที่มีปัญหาผมก็ต้องเอาคนออกจากปัญหาความขัดแย้งก่อน ไม่เช่นนั้นจะส่งผล วันนี้ท่านก็สบายไม่มีใครว่า นั่นเป็นสิ่งที่ต้องทำ ตรงไหนที่มีความขัดแย้งมากต้องขยับออกก่อนแล้วค่อยแก้ไขปัญหา ถ้ายังอยู่ผมก็เดินหน้าไม่ได้ ผมไม่ได้เกลียดชังท่าน ไม่ได้มองว่าท่านอยู่ข้างนั้นข้างนี้ ผมใช้เวลาทำเรื่องนี้เป็นเวลานานพอสมควร วันนี้ผมคิดว่าผมทำใจได้แล้ว ผมไม่ใช่ศัตรูกับใคร แต่ใครจะคิดว่าผมเป็นศัตรูก็แล้วแต่จะอดทนเต็มที่” นายกฯกล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในปีหน้าเราจะกำหนดให้ชัดเจนว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่จะแก้ปัญหาหลักๆให้ได้ ทั้งหมด 11 วาระการปฏิรูป 37 กิจกรรม พร้อมย้ำกับข้าราชการทุกคนว่า ต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้การทำประชามติเป็นไปได้ ซึ่งตนเองอยากให้ผ่าน แต่หากผ่านแล้วเหมือนเดิมก็ไม่อยากให้ผ่าน ต้องเข้าใจว่าวันนี้ประเทศเราต้องการปฏิรูปหรือไม่ ต้องสอนให้ประชาชารู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหน ต้องแก้อย่างไร รวมถึงเหตุผลในการทำรัฐธรรมนูญใหม่ ที่เป็นไปตามหลักสากล และทำอย่างไรให้รัฐบาลเดินตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ทุกคนต้องร่วมมือกันทุกอย่างจะไปได้ กฎหมายมีไว้ให้คนอยู่ร่วมกัน เพราะฉะนั้นกฎหมายต้องเป็นตัวเริ่มต้นทุกอย่าง ทั้งการปรองดองและการปฏิรูป ถ้าไม่มีกฎหมายก็อย่าอยู่เลย ใช้มาตรา 44 ยุบกฤษฎีกาไปเลย ยุบหน่วยงานเกี่ยวกับกฎหมายทิ้งให้หมด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรี กล่าวกับข้าราชการที่ร่วมอวยพรปีใหม่ ได้พูดหยอกล้อกับปลัดกระทรวงพาณิชย์ ที่นั่งหาวว่า "อ้าวหาวแล้ว ง่วงนอน เดี๋ยว ๆ เราทุกคนเหน็ดเหนื่อยผมรู้ ต่อไปจะมีการประเมินทันทีถ้านายกรัฐมนตรีพูดแล้ว ง่วงเหงาหาวนอนหรือหลับ ประเมินศูนย์ โอเคแหย่เล่น วันนี้ขอบคุณทุกคนที่มาดอกไม้เต็มไปหมดเลย คนที่รวยที่สุดคือร้านดอกไม้ ปีใหม่นี้ขอให้พวกท่านเที่ยวอย่างสบายใจ ผทจะอยู่ดูแลท่านเอง อยู่บ้านตลอดไม่เคยไปไหน คอยฟังว่ามีเหตุที่ไหน ค่อยรับโทรศัพท์แล้วสั่งการ เป็นอย่างนี้มาตลอดจนความรู้สึกมันด้านชา หมดความรู้สึกอยากได้อยากมีอยากไปไหน อยากอยู่กับครอบครัวแล้วคิดงานที่จะมาสั่งพวกท่านในปีหน้ารอไว้ เพราะไม่รู้จะทำอะไรเหมือนที่เขาเรียกกันว่าเป็นพวกไฮเปอร์ คิดอยู่ตลอดเวลา”
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เขียนบทความคอลัมน์ “จากใจนายกรัฐมนตรี” ลงใน “จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน” ปีที่ 2 ฉบับที่ 17 วันที่ 1 มกราคม 2559 ใจความว่า ในศุภมงคลสมัยขึ้นปีใหม่ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช อันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง โปรดดลบันดาลให้เมืองไทยมีแต่ความผาสุก พระเสื้อเมืองโปรดปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองให้ปราศจากภัยพิบัติ ภัยคุกคามทุกรูปแบบ พระทรงเมืองโปรดดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี อีกทั้งพระเดชะพระบารมีอันแผ่ไพศาลแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โปรดพระราชทานพรให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่า ประสบแต่ความสุข ความเจริญ และร่วมกันสร้างสรรค์ไทยให้เป็นสังคมแห่งความรัก ความสามัคคี นับแต่นี้และตลอดไป
ปี พ.ศ.2557 - 2558 รัฐบาลมอบของขวัญเพื่อคืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนทุกคนตลอดทั้งปี ไม่ใช่เพียงแค่ช่วงเทศกาลปีใหม่เท่านั้น เป็น 2 ปีที่ คสช. และรัฐบาลต้องการนำพาประเทศให้สามารถลุกขึ้นยืนบนลำแข้งของตัวเอง จากการล้มลุกคลุกคลาน สูญเสียบทบาทนำ พลาดโอกาสการพัฒนาประเทศและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันมากว่า 10 ปี ด้วยการเริ่มต้นโครงการสร้างความเข็มแข็งที่สำคัญและการปฏิรูปประเทศในทุกมิติ ซึ่งมุ่งเน้นผลประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศชาติ ประชาชน และลูกหลานไทยเป็นหลักชัย
ปี พ.ศ. 2559 นี้ ผมขอให้เป็น “ปีแห่งการสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศชาติ” เรียนรู้และก้าวข้ามอดีตที่ผิดพลาด นำประสบการณ์ดังกล่าวมาเป็นบทเรียน เพื่อมุ่งเดินหน้าสู่อนาคตที่ดีกว่า สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการวางรากฐานที่แข็งแกร่ง มั่นคง และสมดุลในทุกด้าน
ศกหน้าและปีต่อ ๆ ไป ผมขอฝากข้อคิดเกี่ยวกับการมอบของขวัญที่สร้างความยั่งยืน ทำได้ทุกวัน เป็นการมอบ “ของขวัญ” 4 ระดับ (1) ตนเอง คือ การสั่งสมความรู้ สร้างปัญญา และการมีสติในการรักษาคุณธรรม (2) ครอบครัว คือ การมอบเวลา ให้ความรัก ความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน (3) “มิตรสหาย ผู้ร่วมงาน คนรอบข้าง” คือ การมอบความจริงใจ ให้เกียรติ และการรู้สามัคคี (4) “สังคม ส่วนรวม ประเทศชาติ” คือ การมีน้ำใจ การเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ทั้งนี้ แทนการ “เรียกร้อง” ทวงถามว่า ประเทศจะให้อะไรแก่ท่าน ลองถามตนเองว่า ท่านได้ทำอะไร “มอบให้” ประเทศชาติและลูกหลานบ้าง ในฐานะคนไทยที่รักชาติอย่างแท้จริงครับ
นอกจากนี้ ในคอลัมน์ “วาทะนายกรัฐมนตรี” ได้นำถ้อยแถลงของนายกฯ ที่กล่าวเอาไว้ใน “รายการคืนความสุขให้คนในชาติ” ที่กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ตอนหนึ่งว่า “ผมไม่ได้ทำให้ท่านต้องมารักผม แต่ให้รู้ว่าผมรักท่านอย่างไร เพราะฉะนั้นการรักใครก็ตาม อย่าทำให้คนเสียนิสัย ก็คือต้องสอนให้เขาเรียนรู้ ให้เขาเข้มแข็ง”