สะเก็ดไฟ
เหมือนดูละครฉากตบตี บู๊กันน่าสนใจ ในพรรคประชาธิปัตย์ยามนี้ เบนความสนใจข่าวการเมืองให้หันมาจับตา สนุกกว่าข่าวอื่นใด
ล่าสุด หัวหมู่ทะลวงฟัน “แจ๊คเดอะรีปเปอร์” วัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.กทม. ออกมาวาดลวดลายตามสไตล์โผงผาง สับ ผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. คนในพรรคประชาธิปัตย์กันเอง
“ท่านจบดอกเตอร์ และเป็นสุภาพสตรี แถลงข่าวอย่างนั้นไม่มีความละอายหรืออย่างไร เพราะคณะกรรมการบริหารพรรคแถลงจุดยืนของพรรคชัดเจนผ่านเลขาธิการพรรคและรองหัวหน้าพรรค เป็นภาษาสุภาพของคนกรุงเทพฯ แต่ภาษาชาวบ้านทั่วไปก็คือ พรรคตัดหางปล่อยวัดแล้ว” หลังจาก “เจ๊ผุส” ออกมาเชิดหน้ากล่าวว่าทุกคนใน กทม.ยังเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมรับการตรวจสอบ และย้ำว่ายังไม่มีความจำเป็นต้องคุยกับ หัวหน้ารูปหล่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ระหองระแหงผ่านสื่อ ผ่านการรับรู้ของสาธารณะมา 3 เดือนกว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับ กทม. ภายใต้การกำกับดูแล ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้เคยสร้างชื่อเสียงระบือลือลั่นสมัยเป็น รมว.ต่างประเทศ กับปฏิบัติการ “ก็อดอาร์มี่”
ไล่บี้ไล่ตอนกันห่ามห้าวรุนแรงผิดสังเกต วิลาศ จันทร์พิทักษ์ และ “เดอะแจ๊ค” ไล่ถล่มเกินกว่ากากี่นั้งจะทำกัน สะท้อนภาวะภายในบางอย่าง หรือหลายอย่าง!!
แวดวงการเมืองรู้กันดีว่าชั่วโมงนี้ กทม. ถือเป็น “โอเอซิส” ขุมทรัพย์กลางทะเลทราย ที่จะหล่อเลี้ยงพรรคประชาธิปตย์ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยที่สุด ในยามที่พรรคประสบภาวะขาดน้ำเลี้ยงทั้งอุปโภค และบริโภค แถมถูกคำสั่ง คสช. ล็อกมือล็อกเท้าทำมาหารับประทานขัดสนยิ่งนัก
แต่กลับโดนเล่นแง่ ตุกติกกวนโอ๊ย ทำเฉยเมยไม่สนใจส่งเสบียงกรัง ท่ามกลางกระแสข่าวสอดรับกัน “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำ กปปส. เล่นบทโหดสั่งการ “ชายหมู” เล่นบทเฮี๊ยวกับพรรคต้นสังกัดแบบนี้ หักกันโต้ง ๆ เกมชิงการนำภายในพรรคนั่นเอง
เป็นที่มาที่ไปของข่าวเขย่าเก้าอี้ “อภิสิทธิ์” ที่ออกมาช่วงก่อนหน้านี้ ชื่อชายหมู แทงขึ้นมา เข็นไม่ไหว ก็เป็น สุรินทร์ พิศสุวรรณ หนักกว่านั้น ก็ ชวน หลีกภัย เสียเลย ลูกหาบใกล้ชิด “เดอะมาร์ค” ก็ออกมาฟันธงดัง ๆ เกมเลื่อยขาหมาไม่เห่า พร้อมหยิบยกคำทำนาย “หมอดูอีที” ที่บอกว่า “เดอะมาร์ค” จะรีเทิร์นนายกฯอีกรอบในปี 2559 มาย้ำกันอีกรอบ
ไม่รู้เกี่ยวกันตรงไหน และจะเป็นไปได้จริงหรือ แต่นัยก็คือพวกข้าจะเอามาร์ค ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา เข้าใจตรงกันนะ อย่ามาเลื่อย อย่ามาเขย่า
เมื่อเจอเกมหยามน้ำหน้ากันขนาดนี้ ปฏิบัติการเอาคืนจึงรุนแรง ถึงขั้นประกาศตัดหางปล่อยวัด กทม.ภายใต้การบริหารชายหมู ไม่เกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป จุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ออกมาแถลงในนามกรรมการบริหารพรรค ไล่หมูออกนอกเล้า!!
แล้ว “อภิสิทธิ์” ก็ออกมาตบท้ายแบบหล่อๆตามเคย ขอโทษคนเมืองหลวงที่พรรคไม่สามารถตรวจสอบการทำงานของกทม.ได้ โอดครวญหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ออกซ้ายก็เจ็บออกขวาก็ปวด แต่เหนืออื่นใดการตัดสินใจใด ๆ ก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนกรุงเทพฯ อื้อหือ ช้าทำไม...ปรบมือสิครับ!!!
ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ปชป. ต้องแตกออกไปส่วนหนึ่งภายใต้การนำของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้เคยประกาศว่าจะไม่หวนกลับคืนพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว คอการเมืองนินทาว่า “ลุงกำนัน” ยังฝังใจกับอดีตพรรคต้นสังกัด ที่ไม่ลุยแบบถึงลูกถึงคน ไม่ลุยกันสุดซอย เหมือนที่ตัวเองทำ
“เทพเทือก” เทหมดหน้าตักแล้ว สมัยเป็นแกนนำตัวเอ้ของ กปปส. เล่นเกมอั้งยี่ ปลุกม็อบข้างถนน ชัตดาวน์กรุงเทพ จนคดีล้นพ้นตัว เพื่อโค่นล้มอำนาจตรงข้าม แต่ประชาธิปัตย์เหมือนเดินตามมาแค่ห่างๆ ยังออกลูกกั๊กตามสไตล์การบริหารของ “มาร์ค ม.7” ใจไม่นักเลงเหมือนพี่เทือก
แนวทางของเดอะมาร์คผู้ใหญ่ในพรรคหลายคน แอบป้องปากนินทาว่าเป็นไม้หลักปักขี้เลน ไม่มีจุดยืนที่เด่นชัดเพื่อเอาไปขาย เป็นสไตล์ลื่นไหลยืดหยุ่น แต่บางคนมองว่ามัน “ยืดจนย้วย”
อดีตหัวหน้าพรรค “พิชัย รัตตกุล” พ่อ “พิจิตต รัตตกุล” อดีตผู้ว่าฯ กทม. ออกมาแฉอีกรอบ เดอะมาร์คดื้อด้านไม่ฟังใคร ไม่เคยฟังอดีตหัวหน้าพรรคคนนี้ เห็นเป็นแค่หัวหลักหัวตอ แล้วก็บริหารพรรคจนผลงานออกมาอย่างที่เห็น ในที่สุด “พิชัย” ก็ลาออกจากพรรคไปแล้วด้วยเหตุผลนี้ แต่ด้วยความห่วงใยอยู่พรรคมานานถึง 58 ปี ยังเสนอแนะให้พรรคประชาธิปัตย์ปรับปรุงตัวเองด้วยการผสมผสานคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ ให้เข้ายุคสมัยนี้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านกลางเก่ากลางใหม่ จะลงตัวที่สุด...
ก็ไม่รู้เสียงจากผู้เฒ่าผู้คร่ำหวอดการเมือง อาบน้ำร้อนมาก่อน จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอีกหรือไม่?
มองไปที่กฎกติกาบ้านเมืองยามนี้ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยการนำของ ปรมาจารย์กฎหมายเซียนเหยียบเมฆไร้ร่องรอย มีชัย ฤชุพันธุ์ ดีไซน์ออกมา หากวิเคราะห์เจาะลึกแล้วพบว่า ประชาธิปัตย์คือตัวแปรที่สำคัญที่สุดในสมการการเมืองหลังจากนี้ แม้กติกาหรือร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังเขียนจะจบไม่ผ่านประชามติ แต่ถ้าให้เขียนใหม่ก็ไม่ต่างจากเดิมแน่ ดังนั้น เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์จึงเป็นที่จับตาของทุกคนทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
ประชาธิปัตย์คือ “อะไหล่” ชิ้นสำคัญในการประกอบร่างเป็นรัฐบาล หากจะมีการสืบสานอำนาจจากคสช.สู่พรรคการเมืองในอนาคต เพราะดูโจทย์ที่ กรธ. ตั้งไว้ภายใต้การเลือกตั้งนับคะแนนแบบจัดสรรปันส่วนผสม - ทุกเสียงมีความหมาย แทบมองไม่เห็นความเป็นได้ที่จะมีรัฐบาลพรรคเดียว หรือมีพรรคใดได้เสียงเกินครึ่ง
เปิดทางให้เกิดรัฐบาลสหพรรค เหมือนสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แห่งซอยสวนพลู ที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯหน้าตาเฉย ทั้ง ๆ ที่มี ส.ส. จิ๊บจ๊อยไม่กี่คน เถลิงบัลลังก์กันฮาเฮไม่เกรงใจพรรคใหญ่ เราอาจได้เห็นเหตุการณ์แบบนั้นอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แต่ประชาธิปัตย์คือเงื่อนไข เพราะทุกพรรคการเมืองขนาดกลางขนาดเล็ก ไม่ใช่เรื่องยากที่ คสช. จะตีรวมเข้ามา จะมีแต่ประชาธิปัตย์ที่ลีลาท่ายากเยอะ ฝั่ง “สุเทพ” คุยกันง่ายสไตล์นักเลง แล้วก็ออกตัวชัดแล้วในวันนี้ แต่ “เดอะมาร์ค” ยังเหมือนเดิม ภาพการเมืองในอนาคตวางแปลนกันไว้เกือบหมดแล้ว เหลือแต่กล่อม “มาร์คแอนเดอะแก๊ง” นี่แหละ เหมือนผู้ใหญ่ต้องถือไม้เรียวไล่หวดเด็ก เอาขนมหวานให้กินอยู่ตลอด ๆ ถึงจะยอม
การเมืองไทยมันก็แค่นี้ เก้าอี้ก็ผลัดกันนั่ง อำนาจผลประโยชน์ก็แชร์กันไป เรื่องก็ไม่เกิด ใครฮุบไว้คนเดียวนาน ๆ เมื่อไหร่ ก็บรรลัยเกิด...