ประชาธิปัตย์ประกาศตัดหาง “ชายหมู” หลังเมินประสานงานพรรคแก้ปัญหาความไม่โปร่งใส ประกาศเป็นเอกเทศพรรคไม่ร่วมรับผิดชอบ “จุติ” รับตัดสินใจไม่ใช่เรื่อง “หมู” ยันสถานะรองหัวหน้ายังอยู่ รอเจ้าตัวตัดสินใจ ส่วนสองอดีต ส.ส.ที่ไปร่วมงานให้คิดเอาเอง ย้ำไม่มีขัดแย้งเรื่องชิงเก้าอี้หัวหน้า ด้าน “องอาจ” หวังทีมงาน กทม.สลัดผลประโยชน์โบกมือลาเสาชิงช้า
นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค กทม. ร่วมกันแถลงจุดยืนต่อความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์ ต่อการบริหารงาน กทม.ซึ่งมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม.ว่า หลังจากที่พรรคให้เวลา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์แก้ปัญหาการทุจริตต่างๆ มาพอสมควรในการปรับวิธีคิดและแนวทางการทำงาน แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ดังนั้นพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อสมาชิกพรรคและประชาชนชาว กทม. พรรคขอแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ต่อไปนี้พรรคไม่สามารถแสดงความรับผิดชอบร่วมกับการทำงานของ กทม.อีกต่อไป และไม่สามารถดำเนินการกิจการทางการเมืองร่วมกัน
“พรรคเปิดทางให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตัดสินใจตามทัศนคติตนเอง เพราะถึงเวลาที่ต้องให้ผู้ว่าฯ กทม.รับผิดชอบต่อการบริหารงานของตัวเอง ซึ่งพรรคขอขอบคุณที่เคยมีผลงานกับพรรคและประเทศ หวังว่าจะประสบความสำเร็จในการบริหารงานตามทัศนคติของตัวเอง และขอย้ำว่าพรรคไม่มีการโกรธเคืองใดๆ กับ ม.รว.สุขุมพันธุ์ เพียงแต่มีมุมมอง ทัศนคติที่แตกต่างกัน เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย พรรคเปิดโอกาสให้ กทม.ตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาแล้ว จึงถึงเวลาให้ท่านได้รับผิดชอบต่อการแก้ไขปัญหาของท่านเอง แต่ก็ขอขอบคุณ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ที่มีผลงานที่ดีให้แก่พรรคและประเทศ และการตัดสินใจครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเรื่องเงินสนับสนุน แต่เป็นเรื่องการเคารพระบบพรรค”
นายจุติกล่าวว่า ตามข้อบังคับพรรคผู้บริหารท้องถิ่นจะต้องรับฟังแนวทางของพรรคด้วยโดยการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งด้านประสิทธิภาพ ความโปร่งใส ในการบริหารงานของผู้บริหาร กทม. เพื่อให้มีการตรวจสอบได้อย่างเป็นระบบ อันนำไปสู่การแก้ไขปรับปรุงเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่เมื่อไม่สามารถดำเนินการได้พรรคจึงต้องรับผิดชอบทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนไว้วางใจ โดยจากนี้ไปการบริหารของ กทม.ถือเป็นการดำเนินการโดยเอกเทศของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะพรรคไม่สามารถใช้ระบบและกลไกในการสนับสนุนติดตามตรวจสอบการทำงานของ กทม.ได้ พร้อมกับขอโทษชาว กทม.ด้วย
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่อง “หมูๆ” ที่จะตัดสินใจ โดยที่ผ่านมามีความพยายามประสานงานโดยตลอดแต่ไม่ประสบผลสำเร็จจนมาถึงวันนี้ ส่วนบุคลากรของพรรคที่ไปทำงานร่วมกับ กทม. ก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่าจะทำอย่างไร และยังบอกไม่ได้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวจะมีผลต่อการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ในอนาคตหรือไม่ เนื่องจากขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละคน โดยในขณะนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ยังถือเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ เพราะพรรคไม่สามารถเปิดการประชุมได้ แต่จะตัดสินใจลาออกหรือไม่ขึ้นอยู่กับท่านจะพิจารณาเอง และยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเพียงความความคิดเห็นที่แตกต่างในการทำงาน ไม่ใช่เป็นความแตกแยก เมื่อไม่สามารถประชุมพรรคได้ รวมถึงสมาชิกทั้งประเทศและใน กทม.อยากได้ความชัดเจน เราจำเป็นต้องแสดงจุดยืนของพรรค”
ด้านนายองอาจกล่าวเสริมว่า หลังจากที่ตนได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจความเห็นของสมาชิกพรรคในกรณีนี้แล้ว ก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วย และเรื่องนี้พรรคไม่ได้เสียเวลาไปกับการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะเป็นเรื่องปกติในการทำงานที่มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของพรรค ที่ผ่านมาพรรคเคยมีมติขับนายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา ส.ก.บางรัก ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคจากกรณีเข้าชิงตำแหน่งประธาน ส.ก.แข่งกับนายสมชาย เวลารัชตระกูล ส.ก.เขตสายไหม ทั้งที่พรรคมีมติให้ส่งรายชื่อเดียวมาแล้ว แต่กรณีของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ไม่สามารถที่จะเปิดประชุมได้จึงเพียงแต่แสดงจุดยืนของพรรคให้ประชาชนรับทราบ หาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ไม่ลาออกจากรองหัวหน้าพรรค และพรรคสามารถเปิดประชุมได้จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ต่อไปอย่างไรนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะยังไม่ทราบการตัดสินใจของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ภายในพรรคหรือทำให้มี ส.ส.แยกตัวออกจากพรรคไป และการตรวจสอบต่างๆ ก็จะดำเนินการตามปกติ
ส่วนกรณีคนของพรรคที่ไปร่วมบริหารงานกับ กทม. เช่น นางผุสดี ตามไท รองผู้ว่าฯ กทม. และนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม. ควรจะมีการพิจารณาตนเองด้วยหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า เชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะมีวิจารณญาณเป็นของตนเองว่าจะพิจารณาอย่างไร จะเลือกผลประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก หรือผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งนี้อนาคตทางการเมืองของบุคคลเหล่านี้จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ว่าเขาจะตัดสินเลือกฝั่งใด