“ถาวร” ติงประธาน ป.ป.ช.ค้าน กรธ.วางกรอบเวลาสอบทุจริตให้เสร็จใน 20 เดือน ชี้เร่งรัดเพื่อให้การปราบโกงมีประสิทธิภาพ บอกที่ผ่านมาหลายคดีสำคัญต้องหลุดเพราะหมดอายุคยาม พร้อมหนุนให้ประชาชนฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐคอร์รัปชันได้
นายถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอความเห็นใจต่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กรณีกำหนดกรอบระยะเวลาการทำงานของ ป.ป.ช.ให้ไต่สวนคดีแล้วเสร็จไม่เกิน 1 ปี 8 เดือนว่า ตนไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของประธาน ป.ป.ช. เพราะที่ผ่านมีหลายคดีสำคัญที่ต้องหลุดไปเพราะ ป.ป.ช.ปล่อยให้หมดอายุความ เช่นตนเคยยื่นฟ้องคดีอัลไพน์ แต่สุดท้ายก็ขาดอายุความโดยไม่มี ป.ป.ช.แสดงความรับผิดชอบ
อย่างไรก็ตาม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาก็กำหนดระยะเวลาในการทำคดีเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าองค์กรตำรวจก็มุ่งเน้นให้พนักงานสอบสวนทำงานภายใต้กรอบที่มีประสิทธิภาพรวดเร็ว และถูกต้อง พล.ต.อ.วัชรพลก็เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจน่าจะเข้าใจในหลักการนี้ ดังนั้น ตนขอความกรุณาช่วยถอดความคิดเห็นดังกล่าวออกไป แล้วมาขจัดความทุจริตร่วมกัน เพราะที่ผ่านมาเราได้ถูกจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุด แสดงให้เห็นว่าการทุจริตในประเทศเป็นมะเร็งร้ายที่ต้องรีบแก้ไข จึงขอให้ กรธ.มีความเข้มแข็งยึดในหลักการเพื่อสอดรับต่อการปฏิรูป
นายถาวรยังแสดงความเห็นด้วยที่ กรธ.กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยให้ยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐที่ส่อทุจริตได้ เช่นคดีของตน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำการยื่นฟ้องคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แต่ถูกศาลฎีกายกฟ้องโดยระบุว่าตนไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ก็มีการถกเถียงในที่ประชุมและเห็นว่าตนและนายสุเทพถือเป็นผู้เสียหายมีสิทธิ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องได้โดยตรง
นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างมาตรการป้องกันการปราบปรามการทุจริตให้มากขึ้น และเป็นแรงจูงใจให้กับประชาชนว่า หากมีการทำผิดต้องได้รับการลงโทษ อีกทั้งยังเป็นการกำหนดหน้าที่ให้ ป.ป.ช.ว่าต้องเร่งรัดในกระบวนการปราบปรามการทุจริตเพื่อให้มีประสิทธิภาพ