หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กราบสักการะพระธาตุพนม เยี่ยมชมกลุ่มเกษตรกรปลูกพืชหมุนเวียนระยะสั้น ก่อนกราบพระธาตุเรณูนคร ชี้ เร็วเกินไปที่จะบอกรับหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ กรธ. ต้องฟังเสียงทักท้วงด้วย เชื่อ ยังแก้ได้อีกก่อนประชามติ ไม่เห็นด้วยศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเรื่องนอกกฎหมาย เสนอนายกฯ 3 คนไม่ตอบโจทย์ ชี้ โพลคะแนนนิยม ปชป. ลดเรื่องธรรมดา ย้ำเดินหน้าคิดนโยบาย
วันนี้ (19 ม.ค.) ที่ จ.นครพนม เมื่อเวลา 14.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมคณะ เดินทางไปกราบสักการะพระธาตุพนม ที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร และมนัสการพระเทพวรมุนีเจ้าอาวาส พร้อมกับแห่ผ้าห่มพระธาตุและถวายชุดสังฆทาน โดยเจ้าอาวาสได้มอบพระวัดพระธาตุพนม รุ่นรวยคูณพูนเพิ่มให้นายอภิสิทธิ์ด้วย จากนั้นคณะได้เดินทางไปเยี่ยมชมกลุ่มเกษตรกรบ้านน้ำก่ำ อ.ธาตุพนม และพูดคุยกับเกษตรกรที่ปลูกพืชหมุนเวียนระยะสั้น ซึ่งทำรายได้ให้เกษตรกรสามารถเลี้ยงชีพได้ตามแนวทางพระราชดำริ ก่อนจะเดินทางมากราบสัการะพระธาตุเรณูนคร ที่ อ.เรณูนคร พร้อมแห่ผ้าห่มพระธาตุและถวายเครื่องสังฆทาน
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์และระบุจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ว่า ตนเห็นว่ายังเร็วเกินไปที่แต่ละฝ่ายจะออกมาบอกว่ารับหรือไม่รับ เพราะตามขั้นตอนต้องมีการรับฟังความเห็นเพิ่มเติมของฝ่ายต่าง ๆ ก่อน จึงอย่าด่วนสรุปว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) จะไม่ฟังเหตุผลอะไรหรือจะไม่เปลี่ยนแปลงใด ๆ หากอยากให้การเมืองเดินไปข้างหน้าด้วยความมั่นคง กรธ. ก็ต้องฟังเสียงทักท้วงด้วย เช่นเดียวกับอีกฝ่าย ก็อย่าตั้งป้อมโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะท้วงเรื่องอะไร เพราะขณะนี้ยังไม่มีใครเห็นครบทั้งร่าง เพราะจะต้องเชื่อมโยงบทบัญญัติต่าง ๆ ก่อนที่จะอธิบายให้เกิดความเข้าใจ ถ้ายังมีการตั้งป้อมกันเช่นนี้ก็ทำให้การเมืองไม่ราบรื่นเท่าที่ควร
“ที่ผ่านมา ผมว่าการทำงานของ กรธ. ชุดนี้ดี มีการชี้แจงทำความเข้าใจ ไม่มีการปะทะกล่าวหากัน เชื่อว่า ก่อนจะทำประชามติ ยังสามารถแก้ไขปรับเปลี่ยนได้อีก ไม่เฉพาะกับพรรคการเมืองใหญ่ แต่เป็นทุกฝ่าย เช่น บางประเด็นเกี่ยวกับสิทธิประชาชน ก็ต้องฟังเสียงเขาด้วย ส่วนภาคการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ ทั้งแง่ดุลอำนาจ หรือความสมดุลก็ต้องว่ากัน แต่บางหลักการ เช่น การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี 3 คน ปัญหาเกิดจาก กรธ. ไม่ยืนยันว่า นายกฯ ควรเป็น ส.ส. ซึ่งเป็นหลักพื้นฐาน หากจะเอาคนนอกมายกเว้น โดยอ้างสถานการณ์พิเศษ ก็จะเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ง่ายกว่า แต่เมื่อไม่มีการกำหนดเงื่อนไขนี้ ก็ทำให้เกิดปัญหา ก็ต้องมึการแลกเปลี่ยนประเด็นปัญหากัน ทุกคน ทุกพรรคควรยินดีที่จะมาพูดคุยกันด้วยเหตุผล แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ควรเปิดพื้นที่ให้มีการแสดงออกแลกเปลี่ยนกัน เพื่อให้การใช้สิทธิเสรีภาพมีความชัดเจน สังคมก็จะคุ้นเคยกับการใช้สิทธิเสรีภาพแบบมีความรับผิดชอบ อะไรที่เกินเลยล้ำเส้นกระทบความมั่นคงเราก็มีกฎหมายกำกับอยู่แล้ว แต่หากปิดทุกอย่างตอนนี้ เมื่อถึงเวลาเปิดใช้ ใครจะรับรองได้ว่ามันจะไม่กลับไปยุ่งวุ่นวายเหมือนเดิม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ส่วนประเด็นที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดกรณีบ้านเมืองเกิดวิกฤตหรือทางตันนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ชี้ขาดข้อกฎหมายอยู่แล้ว หากจะให้แก้ไขปัญหาวิกฤตที่สืบเนื่องจากกฎหมายมีความคลุมเครือก็เหมาะสม แต่ไม่ใช่ให้ศาลมากำหนดทิศทางการเมืองที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย ถ้าบัญญัติเช่นนี้ก็ไปได้ ดังนั้น ทุกคนควรอ่านร่างรัฐธรรมนูญในแต่ละเรื่องให้ชัดเจนก่อนวิจารณ์จะดีกว่า ส่วนที่มาของการเสนอนายกรัฐมนตรี 3 คนนั้น ตนยังยืนยันว่า ไม่ตอบโจทย์ เพราะหากบัญญัติว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. นักการเมืองทั้ง 500 คนก็เป็นได้ แต่เมื่อระบุเสนอชื่อคนนอกได้โดยให้พรรคการเมืองเสนอได้ เมื่อเกิดวิกฤต ไม่มีฝักฝ่ายแล้วเสนอโดยพรรคการเมืองจะทำได้จริงหรือ ตนเห็นว่า เป็นการคิดที่ไม่ครบถ้วนและไม่ยึดหลักการก่อน อยากให้ทบทวนเรื่องนี้คือนายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. แต่เมื่อเกิดวิกฤตที่ต้องมีนายกรัฐมนตรีคนนอก ก็ควรกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจนทุกอย่างก็เดินไปได้
“ยังมีหลายเรื่องที่ กรธ. ควรต้องทบทวน โดยหลายเรื่องควรเพิ่มเติมเงื่อนไขให้ชัดเจนกว่านี้ เช่น การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงขอให้เปิดใจกว้างรับฟัง กรธ. อย่ายึดถือว่าสิ่งที่ทำมาต้องเป็นอย่างนี้ แก้ไขไม่ได้ ดีที่สุดแล้ว ซึ่งท่าทีของนายมีชัยก็ไม่เป็นเช่นนั้น ส่วนคนอื่นบางทีอาจเกินเลยไป จึงทำให้แข็งเกินไป” นายอภิสิทธ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนนิยมลดลงกว่าพรรคเพื่อไทย ว่า คะแนนพรรคการเมืองมีขึ้นมีลง แต่ที่ชัดเจนคือ ตอนนี้ทุกพรรคจะลดลงหมด เพราะถูกวิจารณ์ตลอด จึงไม่ต้องกังวล เรามีหน้าที่ทบทวนว่าจะสร้างความนิยมและศรัทธาอย่างไร พวกตนก็เดินหน้าคิดนโยบายต่าง ๆ โดย 2 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นบทเรียนสำคัญว่า เมื่อชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรไม่มีรายได้ จะทำให้เศรษฐกิจมหภาคเดินต่อไปไม่ได้เช่นกัน
เมื่อถามว่า มาทำบุญกราบพระบรมสารีริกธาตุเพื่อต้องการเสริมดวงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ปฎิเสธ โดยกล่าวว่า ไม่ใช่ ตนต้องการมาทำบุญเท่านั้น