รองนายกรัฐมนตรีแถลงหลังผลประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้าการลงทุน และความร่วมมือเศรฐกิจไทย-จีน เตรียมผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน ด้านการค้า-คมนาคม เพิ่มมูลค่า 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใน 5 ปี ส่งเสริมนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย 10 ล้านคน เร่งสร้างรถไฟตามกำหนด พ.ค.ปีหน้า
วันนี้ (17 ธ.ค.) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรีจากหน่วยงานด้านเศรษฐกิจ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน แถลงภายหลังร่วมการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือเศรฐกิจไทย-จีน หรือเจซี ครั้งที่ 4 ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้มีความหมายเหมือนอดีตที่ผ่านมา โดยเห็นได้จากนายหวัง หย่ง มนตรีแห่งรัฐของจีน (เทียบเท่ารองนายกรัฐมนตรี) ได้นำผู้ใหญ่ในรัฐบาลของจีน รวมถึงนักธุรกิจชั้นนำมาร่วมประชุมในวันนี้ ซึ่งวันนี้มีการประชุมในหลายมิติทั้งด้านการค้า การลงทุน การร่วมกันของทั้งสองฝ่ายที่จะมาสนับสนุนด้านยุทธศาสตร์ เรื่องของการเกษตร การท่องเที่ยว รวมถึงการคมนาคม ไอซีที และวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมเชิงยุทธศาสตร์ที่เตรียมผลักดันไทยสู่ศูนย์กลางอาเซียน ทั้งด้านการค้า การลงทุน และคมนาคม ซึ่งประเด็นเรื่องดอกเบี้ยไม่ใช่ประเด็นสำคัญเหมือนการทำการค้าระหว่างจีนในอดีต เพื่อให้เกิดรูปแบบการลงทุนที่ดี และเหมาะสมกับการลงทุนของทั้งสองประเทศ โดยตั้งเป้าผลักดันมูลค่าการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น 2 เท่า จาก 6 หมื่น เป็น 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐภายใน 5 ปี ทั้งนี้ ทางจีนให้คำมั่นว่าจะไม่มีนโยบายลดการนำเข้ามันสัมปะหลังจากไทย และทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมที่จะเร่งดำเนินการ ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสินค้าเกษตรไทย-จีน ซึ่งจะส่งผลให้มีการขยายการส่งออกสินค้าเกษตรไทยไปจีน อย่างไรก็ตาม ไทยควรพัฒนาสินค้าเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ อย่างยางพารา ผลไม้ และสินค้าฮาลาน ด้วย
ขณะที่ด้านกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมลงนามว่าด้วยข้อกำหนดด้านสุขภาพอนามัย และสุขภาพอนามัยพืช สำหรับการส่งออกข้าวจากไทยไปจีน โดยในปีนี้ไทยได้มีการส่งออกข้าวไปยังประเทศจีน ซึ่งถือว่ามาตรฐานการส่งออกข้าวของไทยเป็นไปตามหลักสากล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราสามารถยกระดับราคาสินค้าของเราได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ทางการจีนจะส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบรังนกของไทย เนื่องจากไทยไม่สามารถส่งออกรังนกไปยังประเทศจีนเป็นเวลากว่า 3 ปี ด้านอุตสาหกรรม เน้นเรื่องของนโยบายที่ต้องการจะปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมโดยกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบซุปเปอร์คลัสเตอร์ด้วย จึงเชิญชวนให้นักลงทุนจีนเข้ามาร่วมการลงทุนในครั้งนี้ นอกจากนี้ด้านกระทรวงคมนาคม ได้หารือถึงโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับ รัฐบาลจีนในเรื่องของรถไฟ ซึ่งมีข้อสรุป 4 เร่ง คือ 1. เร่งในเรื่องของด้านเทคนิค 2. เร่งในเรื่องของการต้นทุน และการเงิน 3. เร่งในเรื่องของการทำสัญญา เอ็มโอยูต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในโครงการ และ 4. เร่งดำเนินการก่อสร้างตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ ในเดือน พ.ค. 2559 นี้
สำหรับเรื่องของการท่องเที่ยวจะมีการพัฒนาการท่องเที่ยวระหว่างกัน รวมถึงได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศถึง 10 ล้านคนในปีหน้า โดยในปีนี้มีนักท่องเที่ยวจีนมาในประเทศไทยถึง 7.9 ล้านคน และนักท่องเที่ยวไทยไปประเทศจีนประมาณ 6 แสนคน ทั้งนี้ร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ รวมถึงการแก้ไขกลไกการกระทำที่ไม่ถูกต้องของนักท่องเที่ยวของทั้ง 2 ประเทศ และการส่งเสริมด้านการค้าให้มีการเปิดตลาดใหม่ รวมถึงเจาะแหล่งท่องเที่ยวใหม่ร่วมกัน ขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ จะเน้นในเรื่องของความร่วมมือด้านการสนับสนุนผู้ประกอบการใหม่ ด้านนวัตกรรม ความร่วมมือด้านอุทยานวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม และความร่วมมือภายใต้โครงการเมืองนวัตกรรมด้านอาหาร รวมถึงการร่วมมือกันและถ่ายทอดเทคโนโลยีระบบรางและยานยนตร์ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีอวกาศ
ด้านไอซีที รัฐบาลพยายามขับเคลื่อนประเทศไปสู่ระบบเศรษฐกิจสังคมดิจิตอล ซึ่งทางการจีนได้แสดงความยินดี และให้ความสำคัญทางด้านอินเตอร์เน็ต เทคโนโลยี เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยรัฐบาลได้เชิญชวนให้จีนเข้าร่วมโครงการสมาร์ทซิตี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์คลัสเตอร์ดิจิตอล ซึ่งภูเก็ตถูกกำหนดให้เป็นเมืองแรกในการเริ่มต้นโครงการที่เกี่ยวกับการสนับสนุนผู้พัฒนาประกอบการไทย และปรับปรุงเอสเอ็มอีให้ทำอีคอมเมิร์สได้อย่างกว้างขวางทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่นออกไปสู่ตลาดใหญ่ในประเทศจีน ซึ่งถือว่าจะมีความร่วมมือกันทั้งในระดับภาครัฐและเอกชน