xs
xsm
sm
md
lg

ประหาร “มือเผา” ทำแกนนำแดงผวาบรรทัดฐานคำพิพากษา !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เมืองไทย 360 องศา



“เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” คำพูดของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2553

“ขอให้เสื้อแดงซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ฟังภารกิจดังต่อไปนี้ ให้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ศาลากลาง รอเวลาให้มีการปราบเมื่อไหร่ตัดสินใจได้ทันที” คำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2553

“นัดกันคราวหน้า ถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปราม ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้าบรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคน ในกรุงเทพมหานครมีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม. เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน” คำพูดของ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2553

นั่นเป็นคำพูดของพวกแกนนำคนเสื้อแดง ที่เคยพูดปลุกระดมคนเสื้อแดงในทำนองสื่อให้เกิดความรุนแรงตามมา เมื่อครั้งมีการชุมนุมเมื่อปี 2553 หรือก่อนหน้านั้น

ยังไม่ได้พูดถึงคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ถือว่าเป็นหัวหน้าขบวนการใหญ่เคยพูดปลุกระดมในทำนองเดียวกันที่กล่าวว่า “ให้พี่น้องต่างจังหวัดไปที่ศาลากลาง ผมอยากฝากบอกคนเสื้อแดงทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่งว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นรุนแรงกับพี่น้องคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯ พี่น้องเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่ศาลากลางให้เต็มที่” เป็นคำพูดในเชิงปลุกระดมในปีเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกัน

อย่างไรก็ดี คนพวกนี้ส่วนใหญ่ยังลอยนวล หรือมีบางคนเท่านั้นที่ถูกดำเนินคดีแต่ยังอยู่ในศาลชั้นต้น มีการประกันตัวออกมาชั่วคราว

แต่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ กรณีที่ศาลฎีกาได้พิพากษาศาลคำสั่งศาลอุทธรณ์ในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี จากเดิมที่เคยถูกจำคุกไม่กี่ปี เป็นประหารชีวิต และบางคนที่เคยพิพากษายกฟ้องก็พิพากษากลับในชั้นฎีกาให้จำคุกตลอดชีวิต แน่นอนว่า จากคำพิพากษาดังกล่าวย่อมต้องสร้างความหวั่นไหวให้กับหลายคน โดยเฉพาะจำเลยในคดีเผาศาลากลางในอีกบางจังหวัดที่คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด รวมไปถึงบรรดาแกนนำระดับ “หัวโจก” ในระดับสั่งการที่คดียังค้างคาอยู่ศาลหลายคดี

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนก็ต้องพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ที่จังหวัดอุบลราชธานี ในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อปี 2553 ซึ่งมีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีจำนวน 21 คน เป็นมวลชนแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ซึ่งชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในขณะนั้น โดยก่อนหน้านี้จำเลยจำนวน 8 คน ศาลพิพากษายกฟ้องและคดีสิ้นสุดไปในชั้นอุทธรณ์ คงเหลือผู้ต้องหาที่มาขึ้นศาลฟังคำตัดสินของศาลฎีการวม 13 คน

ทั้งนี้ ภายหลังศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาเสร็จ นายวัฒนา จันทศิลป์ ทนายจำเลย เปิดเผยว่า ศาลได้มีการกลับคำพิพากษาจำเลยเป็นรายบุคคล ประกอบด้วย 1. นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา หรือ ดีเจต้อย แกนนำ นปช. อุบลราชธานี จากเดิมจำคุก 1 ปี เป็นประหารชีวิต แต่ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต 2. นายชัชวาลย์ ศรีจันดา ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต 3. นางอรอนงค์ บรรพชาติ ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 2 ปี ศาลฎีกาพิพากษาเป็นจำคุก 33 ปี 4 เดือน 4. นายลิขิต สุทธิพันธ์ จากจำคุก 2 ปี พิพากษาแก้เป็นจำคุก 33 ปี 4 เดือน 5. นางสุมาลี ศรีจินดา 6. นายประดิษฐ์ บุญสุข 7. นายไชยา ดีแสง 8. นายพิสิษฐ์ บุตรอำคา ศาลฎีกายื่นตามศาลอุทธรณ์ คือ จำคุก 2 ปีเช่นเดิม 9. จ.ส.อ.สมจิต สุทธิพันธ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง พิพากษาแก้เป็นจำคุก 1 ปี

10. นางสาวปัทมา มูลนิล 11. นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ 12. นายสนอง เกตุสุวรรณ์ และ 13. นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ ซึ่งทั้ง 4 คน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุก 33 ปี 12 เดือน ศาลฎีกาพิพากษาลดให้เหลือจำคุก 33 ปี 4 เดือน โดยลดโทษให้คนละ 8 เดือน

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า การอ่านคำพิพากษาลงโทษจำเลยบางรายที่เคยถูกยกฟ้อง หรือได้รับโทษไม่มาก เพราะศาลฎีกาเชื่อตามพยานหลักฐานและคำเบิกความของพยานว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โดยเฉพาะ นายพิเชษฐ์ ทาบุดดา ศาลเชื่อว่าเป็นผู้บงการให้มีการเผาศาลากลางจังหวัดตามที่อัยการยื่นฟ้องจริง

นั่นเป็นรายชื่อของจำเลยที่ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษ ซึ่งมีทั้งประหารชีวิตและปรานีให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำคุก 33 ปี 4 เดือน จนถึงจำคุก 1 ปี และจากการสรุปสาระสำคัญของคำพิพากษาและเหตุผลตามพยานหลักฐานที่ทำให้ศาลเชื่อว่าบางคนเป็น"ผู้บงการ"จึงพลิกคำตัดสินไปจากศาลอุทธรณ์

แน่นอนว่า คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ต้องเดินไปตามกระบวนการ แต่ขณะเดียวกัน ผลจากคำพิพากษาดังกล่าวย่อมสร้างความสั่นสะเทือนในจิตใจของบรรดาจำเลยในคดีเผาศาลากลางที่ยังเหลืออยู่ในบางจังหวัด ว่า คำพิพากษาศาลฎีกาจะกลายเป็นบรรทัดฐานในคดีอื่นในลักษณะเดียวกันหรือไม่ และที่สำคัญก็คือความหวั่นไหวในใจของบรรดาแกนนำระดับสั่งการในเหตุการณ์ชุมนุมที่คดียังไม่ถึงที่สุด

บรรดาแกนนำที่ต้องกล่าวถึง ก็คือ ทักษิณ ชินวัตร ที่แม้เวลานี้ยังหลบหนีอยู่ต่างประเทศ ทำให้ต้องจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราวก็ตาม แต่หากพลาดพลั้งถูกจับกุมตัวกลับมา รวมทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คนพวกนี้จะว่าไปแล้วล้วนเป็นต้นเหตุไม่น้อยที่ทำให้เกิดการจลาจล จนกระทั่งบานปลายกลายเป็นการเผาศาลากลาง ประเภท “เผาไปเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” หรือคำพูดที่ว่าให้พี่น้องเสื้อแดงไปพร้อมกันที่ศาลากลางทั่วประเทศเมื่อมีการปราบเมื่อไหร่ให้ตัดสินใจได้ทันที คนพวกนี้แหละที่ต้องหวั่นไหวหวาดกลัว

ความหวั่นไหวได้สะท้อนออกมาเป็นคำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงหลังจากทราบคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวในทำนองว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง กปปส. หรือคนเสื้อเหลือง ล้วนมีอัตราโทษประหารชีวิตเหมือนกัน เพียงแต่มีรายละเอียดของคดีต่างกันและใครจะโดนก่อนกัน ซึ่งหากพิจารณาจากข้อหาที่มีเจ้าพนักงานตั้งเอาไว้อาจจะร้ายแรง แต่เมื่อพิจารณาจากเจตนา และพฤติกรรมของคดีนั้นย่อมต่างกันแบบเทียบกันไม่ได้ โดยเฉพาะเจตนาในการสร้างความรุนแรง ประเภทเผาเลยพี่น้อง หรือสั่งให้เผาศาลากลาง นั้นไม่เคยพบเห็นว่ามีการชุมนุมที่ไหนหรือแกนนำกลุ่มไหนนอกจากแกนนำคนเสื้อแดงที่ปลุกระดมสร้างความรุนแรงแบบนั้น

ขณะเดียวกัน ก็ต้องถามว่า ที่เคยพูดว่า"ผมรับผิดชอบเอง"จนถึงเวลานี้เคยรับผิดชอบอะไรบ้างหรือไม่ เคยไปดูดำดูดีกับชาวบ้านที่เคยฮึกเหิมจากคำพูดปลุกระดมกันบ้างหรือไม่ เพราะมีแต่ได้ยินเสียงบ่น เสียงตัดพ้อจากคนพวกนี้ว่าไม่เคยได้รับการเหลียวแล อย่างไรก็ดี เมื่อมีคำพิพากษาออกมาแบบนี้ถึงตอนนั้นอาจจะช็อกสุดขั้วหัวใจก็ได้ !!
กำลังโหลดความคิดเห็น