รองนายกฯ-รมว.กลาโหม แจงกรณีเอกสารลับสั่งเข้มงวดต่างชาติเอี่ยวกลุ่มรัฐอิสลาม ระบุสั่งเพิ่มระมัดระวังแล้ว สั่ง สตช.ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเอกสารลับหลุด เผยสอบนักท่องเที่ยวซีเรียไม่พบผิดปกติ ปัดจับ “วรรณา” มือเอี่ยวบึ้มราชประสงค์ ด้านโฆษกรัฐบาลระบุแค่ข้อมูลแลกเปลี่ยนด้านการข่าว ชี้เอกสารนี้เป็นข้อมูลลับ ไม่ควรเผยแพร่ ขอร้องสื่อใช้วิจารณญาณนำเสนอข่าว เตรียมขอความร่วมมือสื่อที่ล้ำเส้น ย้ำให้ความสำคัญดูแลความมั่นคงและรักษาความสงบเรียบร้อย ดูแลความปลอดภัยลำดับแรก
วันนี้ (4 ธ.ค.) ที่อาคารรับรองเกษะโกมล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ปรากฏการเผยแพร่ภาพเอกสารลับมากของทางราชการ ที่อ้างว่าเป็นหนังสือสั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้ายไอเอสเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วนั้นว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เพิ่มความระมัดระวัง ภายหลังจากที่หน่วยข่าวประเทศรัสเซียแจ้งเตือนว่ามีชาวซีเรีย 10 คน เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในพื้นที่ จ.ภูเก็ต พัทยา และ กทม. โดยต้องติดตามตัว พร้อมเพิ่มความระมัดระวังพื้นที่ที่มีนักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส โดยได้เพิ่มกำลังให้เข้าไปดูแลและความปลอดภัย ทั้งนี้ ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบเอกสารลับว่าหลุดออกมาได้อย่างไร
“ส่วนไอเอสจะเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่นั้น ผมไม่รู้ แต่เขาบอกมาอย่างนั้น ผมสั่งให้ตำรวจสันติบาลติดตามดู รวมทั้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบนักท่องเที่ยวชาวซีเรียในประเทศไทยกว่า 400 คน ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ แต่สั่งการให้เพิ่มความระมัดระวังเพื่อให้เกิดความสงบสุข เน้นการป้องกันให้มากที่สุด ทั้งนี้ ผมยังบอกไม่ได้ว่าจะไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น แต่ผมจะทำให้ได้และดีที่สุดในทุกพื้นที่ ทั้งนี้ ขอให้เชื่อมั่นเราจะดูแลในทุกพื้นที่ โดยจะบูรณาการจากกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม คสช. และเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนพื้นที่ภูเก็ต พัทยา และ กทม. จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดูแลอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมถึงงานด้านการข่าวลงไปในทุกพื้นที่ตามมิติที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.มอบหมาย” พล.อ.ประวิตร กล่าว
พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่าสามารถจับกุมนางวรรณนา สวนสัน และสามี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีแยกราชประสงค์ได้แล้วว่า ตนยังไม่ได้รับรายงาน เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจ แต่ต้องไปถามทางอัยการ และกระทรวงต่างประเทศ ส่วนกับทางประเทศมาเลเซียนั้นก่อนหน้านี้ได้มีการสอบถามไปแล้ว หากมีอะไรคืบหน้าเขาคงแจ้งให้ทราบ
ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีที่มีการนำเอกสารของตำรวจสันติบาลให้ติดตามพฤติการณ์ของชาวต่างชาติในประเทศไทย ตามข้อมูลจากหน่วยต่อต้านข่าวกรองรัสเซียมาเผยแพร่ในสื่อมวลชนว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าวที่ประเทศไทยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดร่วมกับทุกประเทศ เพื่อเฝ้าติดตามกลุ่มบุคคลที่เข้าข่ายต้องสงสัยที่ควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังในทุกเรื่อง ทั้งกรณียาเสพติด การก่อความไม่สงบ และอาชญากรรมต่างๆ และถือเป็นข้อมูลลับทางราชการ ที่ไม่ควรนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ เพราะอาจกระทบการทำงานของเจ้าหน้าที่
“การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยและความมั่นคงของต่างประเทศเป็นสิ่งที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องทุกระยะ มีข้อมูลที่เราส่งให้มิตรประเทศช่วยตรวจสอบ หรือมิตรประเทศร้องขอให้เราตรวจสอบตลอดเวลา ไม่ถือเป็นเรื่องใหม่หรือเป็นสิ่งที่ต้องวิตกกังวลเกินกว่าเหตุ ในทางตรงกันข้ามหากเราไม่ได้รับความร่วมมือด้านข้อมูลต่างหากจึงจะน่ากังวล และรัฐบาลได้มีการตรวจสอบแล้วในเบื้องต้น จนถึงขณะนี้ไม่พบกลุ่มผู้ต้องสงสัยตามข่าวเข้ามาทำการเคลื่อนไหวในประเทศไทย ทั้งนี้ อยากขอให้สื่อมวลชนได้ใช้วิจารณญาณพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเผยแพร่ข้อมูลใดๆ โดยเฉพาะข้อมูลที่จะสร้างความตื่นตระหนกให้แก่พี่น้องประชาชน และข้อมูลดังกล่าวยังอาจเกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น” พล.ต.สรรเสริญกล่าว
พล.ต.สรรเสริญกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความเป็นห่วงในกรณีดังกล่าว ทั้งในส่วนการปล่อยปละให้เอกสารสำคัญทางราชการเผยแพร่ออกมา รวมทั้งการทำงานของสื่อมวลชนบางสังกัดที่นำเสนอข่าวโดยละเลยต่อผลกระทบในวงกว้างที่จะเกิดขึ้นกับสังคม โดยในประเด็นหลังนี้อาจจำเป็นต้องให้หน่วยงานที่ดูแลเชิญสื่อมวลชนดังกล่าวมาทำความเข้าใจและขอความร่วมมือเรื่องแนวทางการทำงานต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับการดูแลความมั่นคง การดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศ และการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนเป็นลำดับแรก และกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลความสงบเรียบร้อยในประเทศเตรียมพร้อมเสมอ และให้เพิ่มความเคร่งครัดเป็นพิเศษในช่วงเทศกาล เพื่อความสบายใจและความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนคนไทยและนักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศไทยทุกคน