เมืองไทย 360 องศา
จะเรียกว่าไม่เหนือความคาดหมายก็ได้สำหรับการที่ทหารบุกเข้าจับกุม จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง กับพวกอีกจำนวนหนึ่ง ที่ตลาดมหาชัย สมุทรสาคร ขณะเตรียมการแถลงข่าวก่อนนำมวลชนไปตรวจสอบพื้นที่อุทยานราชภักดิ์ ในอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อตอนสายวันที่ 30 พฤศจิกายน แน่นอนว่า ทั้งคู่คงรู้ตัวล่วงหน้า เพราะมีการพูดจาให้สัมภาษณ์สร้างกระแสล่วงหน้ามานานสามสี่วันแล้ว ตั้งแต่เริ่ม “เร่งไฟ” ว่า มีรถทหารมาจอดอยู่หน้าบ้าน มีทหารอยู่สี่ห้าคน มีการตามประกบทุกฝีก้าวอะไรประมาณนั้น
เป็นการโหมโรงแบบเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่การออกมาโจมตีปมทุจริตการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์พุ่งเป้าไปที่ระดับบิ๊กของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งประกาศว่าพวกเขาจะเดินทางไปดูพื้นที่อุทยานฯในเวลา 11.00 น. ซึ่งแน่นอนว่า การพูดแบบนี้มันก็คือแฝงนัยการปลุกระดมมวลชนโดยใช้เงื่อนไขจากข้อพิรุธเรื่องดังกล่าวขึ้นมาก่อนที่จะพัฒนายกระดับไปสู่เรื่องอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งก็คงมีการวางแผนกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอนมาแบบนี้ และที่ผ่านมา การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็มักมีการวางแผนแบบนี้มาตลอด
นอกเหนือจากนี้ ยังมีอีกเรื่องสำคัญที่คนพวกนี้ออกมาตอบโต้การจับกุมผู้ต้องหาของฝ่ายทหารกรณี “ขอนแก่นโมเดล” ที่ จตุพร พรหมพันธุ์ เย้ยหยันว่า เป็นการ “จัดฉาก” ของฝ่ายรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพื่อต้องการ “กลบเกลื่อน” เรื่องอื้อฉาวการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ โดยเขาเยาะเย้ยถึงขนาดที่ว่าผู้ต้องหารายหนึ่ง ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ระบุว่า เป็นคนเสื้อแดง และกล่าวหาในทำนองไม่เคยรับผิดชอบอะไรเลย โดย จตุพร กล่าวประชดว่า อย่าว่าแต่เตรียมก่อเหตุในค่ายทหาร ค่ายตำรวจ หรือสถานที่สำคัญ แค่ยึดโรงพยาบาลบ้ายังทำไม่ได้เลย เพราะคนพวกนี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอ และยังมีการตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจ ก็คือ มีหนึ่งในผู้ต้องหา “ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำขอนแก่น” หมายความว่ายังติดคุกอยู่เลย ดังนั้น สะท้อนให้เห็นว่า “เป็นการออกหมายจับมั่ว”
อย่างไรก็ดี ในประเด็นหลังสุด คือ เรื่องออกหมายจับผู้ต้องหาที่ยังถูกคุมขังในคุก ว่า เป็นทีมร่วมก่อการสังหารผู้นำรัฐบาล และ คสช. หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา หากเป็นจริงตามที่กล่าวหามันก็น่าคิด แต่ก็สามารถพิสูจน์ตัวตนกันได้ไม่ยาก และที่ผ่านมา ทางฝ่ายความมั่นคง และตำรวจที่รับคดีมีดำเนินการต่อก็ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้
ทั้งสองเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นการสร้างกระแสขึ้นมาโจมตี รัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง ซึ่งจะว่าไปแล้วหากจะกล่าวโทษก็ต้องโทษฝ่ายรัฐด้วย เนื่องจากเป็นการ “สร้างเงื่อนไข” ขึ้นมาจนทำให้ฝ่ายเครือข่าย ทักษิณ ชินวัตร หยิบยกขึ้นมาโจมตี และขยายผลออกไปได้ โดยเฉพาะกรณี “ค่าหัวคิว” การก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ เนื่องจากยังไม่อาจสร้างความกระจ่างให้กับสังคมได้ หลังจากก่อนหน้านี้มีการปิดทางไม่ให้หน่วยงานตรวจสอบจากภายนอกเข้ามา และยืนยันแบบ “ตัดบท” ว่า ไม่มีเรื่องทุจริต ไม่ต้องมาตรวจสอบ
ทั้งนี้ เรื่องแบบนี้หาก “ตัดตอน” ตั้งแต่ต้นโดยแสดงท่าทียอมรับการตรวจสอบจากทุกฝ่าย หากพบว่าใครผิดว่ากันไปตามความผิด เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. เคยประกาศเอาไว้ แต่พอเอาเข้าจริงกลับมีการตรวจสอบภายในกองทัพบกกันเองแล้วมีการแถลงออกมาแบบแข็งกร้าวจาก พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก เรื่องก็จึงเริ่มบานปลาย รวมทั้งมีการเปิดเผยตัวเลขการใช้งบกลางอีกกว่า 63 ล้านบาท มันก็ยิ่งยุ่งยาก จนกระทั่งต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยกระทรวงกลาโหม คือ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รองปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นมาอีก แต่มันก็ไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่น่าเชื่อถือ เหมือนกับการ “สอบกันเอง”
นี่แหละคือเงื่อนไขที่ทำให้พวกเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร อย่างพวกคนเสื้อแดง ที่มี จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ฉวยโอกาสนำมาปลุกระดมมวลชน เพียงแต่ว่าสถานการณ์ยังไม่สุกงอมพอ มันยังไม่มีอารมณ์ร่วมมากนัก อีกทั้งชาวบ้านเขารู้ทันว่า คนพวกนี้มี “วาระซ่อนเร้น” จึงไม่มีใครเอาด้วย ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากช่วงจังหวะเวลามันก็เหมือนการ “รับสัญญาณป่วน” เพื่อหวังต่อรองกดดันคดีสำคัญของ “ลูกพี่” คนสำคัญอย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่คดีอาญาโครงการรับจำนำข้าวกำลังเดินหน้า ส่วนคดีทางแพ่งอีกไม่นานก็จะมีคำสั่งทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายอีกไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท เสี่ยงทั้งคุก และถูกยึดทรัพย์สิน มิหนำซ้ำดูตามรูปการณ์แล้วสนามการเมืองก็มีแนวโน้มถูกปิดตายจากคุณสมบัติต้องห้ามในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกด้วย
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากปรากฏการณ์ดังกล่าว เมื่อ “เงื่อนไข” ให้ดำเนินการก็ต้องรีบลงมือ เพียงแต่ว่าเวลานี้มันคงยังไม่เหมาะ สังคมยังไม่มีอารมณ์ร่วมเพียงพอ อีกทั้งรู้ทันว่าคนที่เคลื่อนไหวมีวาระซ่อนเร้น “พาคนเข้าคุก” อีก เชื่อว่า ยัง “จุดไม่ติด” แต่ถึงอย่างไรยังประมาทไม่ได้ และที่สำคัญอย่าพลาดแบบนี้อีกเป็นอันขาด ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งหากหันมาพิจารณาเส้นทางข้างหน้าของ “สองเกลอ” จตุพร พรหมพันธุ์ กับณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ คราวนี้คง “โดนจัดหนัก” ตามกฎหมายพิเศษเป็นแน่ ไม่ต่างจากการ “เชือดโชว์” ทั้งคุกยาว และให้จับตาการสั่งระงับธุรกรรมทางการเงินตามมาให้ดี
เพราะจากการแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ระบุสาเหตุการจับกุมว่ามาจากเรื่องการ “ปลุกปั่น” มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งในสถานการณ์พิเศษแบบนี้มันก็มีแนวโน้มชัดเจนว่า “คุกยาว” แน่ !!