นายกรัฐมนตรี ชี้ กรณีรัฐสภายุโรปส่งหนังสือเชิญอดีตนายกฯ ถกการเมืองไทย ถามกลับฟังความข้างเดียวหรือไม่ รอศาลสั่งก่อน คสช. กลั่นกรองให้ออกนอกประเทศ พร้อมสั่งพิสูจน์เอกสารหลังพบผิดหลักการ ไม่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ เมินอาจารย์ 323 ชื่อ หยุดขวางเสรีภาพวิชาการ ย้อนเคยสอนให้ศิษย์เป็นคนดีหรือไม่ สั่งกลางเดือนหน้า สปท. สรุปปฏิรูป ตั้งโจทย์ให้เลือกตั้งทั้ง ส.ส. - ส.ว. ไร้อำนาจถ่วงดุล ได้คนดียังไง แนะถ้าไม่เอา คปป. ไปลงประชามติ แจงส่งผู้ลี้ภัยกลับจีนทำตามกฎหมาย มีหมายจับจากประเทศต้นทาง ตอกไม่รู้กระบวนการหาที่อยู่ในพวกลี้ภัย
วันนี้ (24 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีรัฐสภายุโรปส่งหนังสือเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังรัฐประหาร ว่า ขณะนี้ คสช. กำลังพิจารณาเรื่องดังกล่าวอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องฟังข้อพิจารณาของศาลด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องทางคดี และโดยมารยาทของการจะเชิญไปพูดคุยแล้วควรเป็นการพูดคุยหรือเชิญฝ่ายรัฐบาลไปชี้แจง หรือถ้าใครต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอย่างไรจากตน ตนก็พร้อมให้คำชี้แจงทุกอย่าง ดังนั้น หากเป็นเช่นนี้จะกลายเป็นกรณีฟังความข้างเดียวหรือไม่ เป็นการไม่เคารพกลไกของกฎหมายไทยหรือไม่ ก็ขอร้องสื่ออย่าไปเขียนรุนแรง เพราะเดี๋ยวจะหาว่าตนไปตำหนิอียู ซึ่งก็ค้าขายกันอยู่
เมื่อถามว่า ทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะต้องขออนุญาตเดินทางไปต่างประเทศจากศาลก่อนใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่า ศาลมีคำสั่งไว้อย่างไร ก็ต้องฟังศาลก่อน แล้วจากนั้นทาง คสช. จะได้มากรองเพิ่มอีกครั้งหนึ่งว่าควรหรือไม่ควร อย่าได้มาถามย้ำจากตนเลยว่าจะให้ไปหรือไม่ให้ไป อย่าให้ตนต้องพูดทุกเรื่อง สื่อไม่ต้องมาถามแหย่เพื่อที่จะให้เขามาด่าตน
“ตอนนี้กำลังให้มีการพิสูจน์อยู่ว่าเอกสารนั้นจริงหรือไม่ เพราะผมไม่เห็นเอกสารก็เห็นแต่ในหนังสือพิมพ์ ซึ่งใครเซ็นมายังไม่รู้เลย อันที่จริงถ้าเป็นเรื่องของสภา ของประเทศจะต้องเข้าช่องทางให้ถูกต้อง ก็ต้องผ่านกระทรวงการต่างประเทศมา เพื่อระบุว่า ขอตัวให้คน ๆ นั้นได้ไปชี้แจง มันต้องเป็นอย่างนั้นก็ลองคิดว่าถ้าเป็นเรา ผมจะไปทำหนังสือถึงคนในประเทศเขาให้มาชี้แจงกับผมได้อย่างไร ผมก็ไม่ทำหรอก หลักการเป็นอย่างนี้ทำไม่ได้ มันผิดหลักการ ไม่ใช่ว่าผมจะไปดื้อแพ่งอะไรกับเขา ไม่ยินยอม แต่ประเทศไทยต้องคือประเทศไทย คำว่าไทยนั้นสำคัญ กฎหมายไทยต้องมีอยู่ แล้วทุกคนจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ มันคงไม่ใช่ แต่ข้อสำคัญ ถ้าคนของเราไปให้เขาทำตรงนี้คือปัญหา ก็ต้องประณามคนเหล่านี้ ผมมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว แต่พูดไม่ได้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการตรวจสอบพบความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ หรือมวลชนที่อาศัยการจัดกิจกรรมในช่วงวันสำคัญ ๆ ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็ต้องถามว่า แล้วสังคมจะยินยอมให้เกิดขึ้นหรือไม่ หากต้องการให้เกิดความวุ่นวายก็เอา ก็ไปร่วมกับเขา จะให้ตนบอกว่าห้าม ๆ คงไม่ได้ ถ้าต้องการให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย ประเทศมีความสุข ก็อย่าไปร่วมกับเขา ไม่ใช่ไปร่วมตีเกราะเคาะไม้ตามเขาไป หรือสร้างประเด็นให้มีปัญหาให้คนมารวมตัวกันให้ได้มาก ๆ เพื่อเป็นข่าวเหมือนกับที่มีข่าวคราวที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียที่คอยยุคน ตรงนี้ตรงนั้นเพื่อให้เกิดความขัดแย้งก็ให้ระวังเพราะตอนนี้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ควบคุมอยู่ ซึ่งพอตนบังคับใช้ก็มาหาว่าตนละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ในเมื่อเป็นการเขียนด่าคนทั่ว ๆ ไปอย่างนี้ทำได้อย่างนั้น หรือตนก็มีสิทธิของตน ตนมีสิทธิในการถืออำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้ ซึ่งถ้าเป็นอำนาจรัฐแล้วปล่อยให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามกฎหมายก็อย่าไปถืออำนาจรัฐเลย ไม่ต้องมาอย่างที่จะบริหาร ถ้าไม่บังคับใช้กฎหมาย ไม่ทำให้บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่โปร่งใส แก้ปัญหาความขัดแย้งไม่ได้ก็อย่ามาเป็น เพราะถ้าเป็นรัฐบาลแล้วก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้ทั้งหมดทุกเรื่อง ไม่ใช่มาเลือกแก้เป็นเรื่อง ๆ
“เมื่อมาเป็นรัฐบาลแล้วจะต้องแก้ปัญหาทุกเรื่อง ทั้งปัญหาเร่งด่วน ปัญหาปานกลาง ปัญหาระยะยาว ปฏิรูปในสิ่งที่ไม่ทันคนอื่น ปฏิรูปคือการทำใหม่ ลองไปเปิดดูรีฟอร์มเขาแปลว่าอะไร เรื่องการแก้ไขทำใหม่ไปเปิดดู การปฏิวัติคือการปฏิรูปไปเปิดดูในวิกิพีเดีย แต่ไม่ได้หมายความว่าดีหรือไม่ดี ถูกหรือไม่ถูก เขายกตัวอย่างว่านี่คือการปฏิรูปเพราะต้องทำใหม่ทั้งหมด กฎหมาย ยุติธรรม สังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งหมดที่ผมทำอยู่นี้ลองไปดู แต่ถ้าไม่ปฏิวัติได้ก็ดี ก็แล้วรัฐบาลปกติทำไมไม่แก้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่บางฝ่ายกำลังพยายามเขย่า คสช. อยู่ในขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อจะมาถามตนทำไม มาถามในสิ่งที่ทำให้ฝ่ายการเมืองเขามาต่อว่าตน แล้วเขาเขย่าได้หรือไม่ สื่อก็ช่วยเขาเขาเขย่าเสียเลยจะได้เยอะ ๆ ขึ้น หากอะไรที่ทำแล้วไม่ได้ผลก็อย่าไปเขย่าเลยพอเถิด
“ถ้าคุณคิดว่าผมทำดีก็อย่าเขย่าผมตรงนั้น ไปเขย่าในสิ่งที่ผมทำไม่ดีแต่ก็ต้องดูว่าสิ่งที่ผมทำไม่ดี ผมมีเหตุผลอะไรของผมหรือเปล่าว่าทำไมผมถึงจะต้องทำ ไม่มีใครอยากทำให้ใครเดือดร้อน เว้นแต่ไอ้คนเลว เพื่อผลประโยชน์ นั่นแหละไม่ได้ผล” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อาจารย์ 323 รายชื่อ ยื่นหนังสือถึงนายกฯ เพื่อขอให้หยุดลิดรอนเสรีภาพทางวิชาการ และหยุดห้ามนักศึกษาทำกิจกรรมภายในมหาวิทยาลัย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่มากันนั้นก็อาจารย์ชุดเดิมไม่ใช่หรือ ซึ่งตนเคยให้ทหาร และ คสช. เดินไปนั่งคุยกับอาจารย์คนนี้แล้ว ตอนนั่งคุยก็ให้ความร่วมมือทุกอย่าง จะบรรยายอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่พูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ซึ่งเมื่อนุญาตให้ไปแล้วก็หยุดพูดไปเลย แล้วคนอย่างนี้ใช้ได้หรือ
“ก็ต้องรักษากติกาให้ผมด้วยสิ ผมไม่ได้เดือดร้อนที่เขาจะพูด แต่ผมขอถามว่ากฎหมายเขาว่าอย่างไรเขาห้ามพูดก็อย่าพูดตอนนี้ เรื่องไหนที่ควรจะพูดเยอะแยะไป สอนเด็กให้เป็นคนดีสอนหรือไม่ สอนให้เด็กไม่ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองสอนหรือเปล่า ปัดโธ่ แล้วตอนรัฐบาลที่แล้วอยู่ไหนกันเพิ่งมาบรรจุเป็นอาจารย์กันหรืออย่างไร จะเคลื่อนไหวอะไรก็เคลื่อนกันไป ไม่กลัวกฎหมายก็ตามใจ ผมไม่รู้ ถ้าประชาชนจะเคลื่อนไหวตามเขาเดือดร้อนอะไรก็ตามใจผมไม่รู้ แล้วเดี๋ยวถ้าใครหาปืนมายิง โยนระเบิดใส่ก็ตามไปแล้วกัน ถ้าไม่กลัวก็ตามใจ แต่ไม่ใช่ผมแน่เพราะผมไม่ทำอยู่แล้ว นี่ผมไม่ได้พูดด้วยความโมโหแค่เสียงดังนิดหน่อย” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวว่า ต้องคุยกันด้วยเหตุผล การเปิดกว้างทางความคิดก็ต้องคุยอย่างมีเหตุผล แต่ถ้าเปิดแล้วมีความขัดแย้งในเมื่อเรากำลังวางพื้นฐานกันอยู่ ก็ควรนำสิ่งที่เรากำลังวางพื้นฐานนี้ไปดูกัน ไม่ใช่ไปคิดอะไรกันก็ไม่รู้ แล้วประเทศชาติจะไปได้หรือ
“แล้วก็ไปปลุกประชาชนว่าเป็นเพราะมันกำลังเตรียมการเลือกตั้ง แล้วอย่างไรจะให้เลือกตั้งกันพรุ่งนี้กันหรือย่างไร เลือกแล้วได้อะไรกลับมา ปัญหาถูกแก้หรือยัง ทำไมไม่ถามเขากลับไป แล้วอาจารย์เหล่านั้นเคยรับผิดชอบความเสียหายของประเทศชาติหรือไม่ ที่สอนคนมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็สอนไปสิ สอนให้ขัดแย้ง ประชาธิปไตยที่ไม่มีขีดจำกัดสอนไปสิ ทุกคนคงชอบให้สอนแบบนั้น พ่อแม่มันยังไม่ฟังเลย วันหน้าคอยดูเถอะ” นายกฯ กล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อนายกฯ กล่าวถึงช่วงนี้แล้ว ได้มีทีมคนใกล้ชิดส่งสัญญาณเตือนให้นายกฯ เบาลง แต่นายกฯ ได้กล่าวว่า “"ทำไม ให้หรี่ลงหรือ ไม่ต้อง ฉันมีสติของฉัน”
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการจับกลุ่มมวลชนที่เคลื่อนไหว คิดจะก่อเหตุความวุ่นวายให้เกิดความขัดแย้งอยู่ในพื้นที่ภาคอีสาน นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ ไปจับ แต่เป็นการกระทำผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ เมื่อถามว่า บุคคลดังกล่าวเคยถูกจับกุมมาในเหตุการณ์เคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีตแล้วใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีการจับกุมตัวมาแล้วเขาก็ประกันตัวออกไป เป็นคดีความกันอยู่ แต่เป็นการเขียนในโซเชียลมีเดียว่าจะไปตีหัวคนแล้วจะปล่อยให้เขาตีหรืออย่างไร เมื่อถามว่า จะถือเป็นการก่อเหตุซ้ำซ้อนหรือไม่ และจะมีมาตรการดำเนินการอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า จะให้เรียกมา แล้วให้ตนบอกว่าขอบคุณอย่างนั้นหรือ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงแนวทางการปฏิรูปประเทศ ว่า แนวการปฏิรูปต้องขับเคลื่อนให้ได้โดยเร็ว และตอนนี้ต้องคุยกับสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ประมาณกลางเดือน ธ.ค. จะต้องสรุปมาให้ตรงกันว่าจะปฏิรูปอะไรบ้าง ในระยะที่ 1, 2 ของ คสช. และรัฐบาล จากนั้น ทำแผนต่ออย่างละเอียด ไม่อย่างนั้นจะไม่ตรงกัน ทางตนเริ่มต้นแล้ว ทางโน้นมาเริ่มต้นใหม่ ที่ผ่านมามันก็ไม่ตรงกัน แต่ไม่ใช่ข้อขัดแย้งอะไรทั้งสิ้น เพราะอยู่ในกรอบเดียวกันอยู่แล้ว ทั้ง 11 - 12 เรื่อง ที่ขอเพิ่มเติมเรื่องอื่น ๆ มาด้วย ก็จะมาถอดเพิ่มใน 12 เรื่อง 11 กิจกรรม จะทำอะไรกันบ้าง ให้มันเสร็จ จะได้ไปดูเรื่องงบประมาณ จัดทำรายงานโครงการให้สอดคล้องกัน วางเวลาให้ได้ ต้องทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ภายในปี 60 ที่เหลือก็ส่งต่อ
ส่วนการเลือกตั้งมันอยู่ที่ว่า เลือกไปแล้วได้คนดียังไง ถ้าทำไม่ดี ตีเช็คเปล่าให้คนที่เป็น ส.ส. เขาก็ไปทำทุกอย่างที่ให้อำนาจเขาไป ซึ่งถ้ากลไกทั้งนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ บอกว่าต้องมีการถ่วงดุล อำนาจตรงนี้มันทำตรงไหนบ้าง มันก็มีอำนาจ 2 อัน คือ ส.ส. และ ส.ว. ซึ่งทั้ง 2 อันมาจากการเลือกตั้งทั้งคู่ แล้วใครจะค้านใครได้ ไปหามา ส.ส. และ ส.ว. จะทำอย่างไร ตรงนี้ซับซ้อนอยู่ ไปอ่านหนังสือ ไปศึกษามาทั่วโลกหมดแล้ว การปกครองต่าง ๆ ของโลกใบนี้มีจุดดี จุดแข็งตรงไหน ฉะนั้นคนไทยต้องเรียนรู้ เพราะเราไม่เรียบร้อย แล้วเราค่อยทำให้เข้าที่เข้าทาง ทำอะไรอย่าไปคิดเอง หรือไปคิดนอกกรอบ ถ้าอย่านั้นมันก็จะตีกันยุ่งไปหมด
“ผมเห็นใจ กรธ. สปท. ความขัดแย้งสูงมาก นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการ กรธ. ก็อายุมากแล้ว ก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ทุกคนให้เกียรติ แต่การเมืองทำให้ทุกอย่างถูกทำลาย นี้คือ การเมือง ถึงไม่มีใครอยากเข้ามา เว้นแต่คนที่เขาชอบ คนที่อยากพัฒนาบ้านเมือง เขายังไม่อยากเข้ามาเลย เพราะเขาเห็นว่าการเมืองเป็นแบบนี้ ถ้าเขาต้องเจอไปตลอดชาติ ไม่รู้จะทำยังไง ให้ไปหามา” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกฯ ยังกล่าวถึงกรณีที่ คสช. มีข้อเสนอแนะ 10 ข้อ ส่งไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า เป็นเรื่องที่ส่งมาจาก คสช. หลังตนสั่งให้ไปรับฟังความคิดเห็นมาว่า ใครต้องการอะไรให้บันทึกมา แล้วก็ส่งมาให้ตน 10 ข้อ แต่ในนั้นก็มีที่ตนไม่เห็นด้วย แต่จะให้ตนไปบอกว่าอันนี้เอา ไม่เอา มันไม่ใช่ เพราะตนตั้งใจฟังทุกคน แต่ทั้งหมดเป็นเรื่องของ กรธ. ใช่จะเอาไปทำทั้งหมด มันไม่ใช่คำสั่ง ตนยังบันทึกไว้เลยว่าเสนอให้ กรธ. นำไปพิจารณาเป็นข้อมูล เดี๋ยวก็ไปอีก คสช. ก็ต้องเดินตามหมู่บ้านกับชาวบ้าน แล้วก็เสนอโน้นเสนอนี้มา เพราะไม่มีช่องทาง เขาไปรับมาให้ ซึ่งก็มาผ่านตนในฐานะหัวหน้า คสช. ที่จะต้องเซ็นออกไป แต่จะเอาทหารไปทำ ไปแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ตนไม่เห็นด้วย แต่มีทหารบางคนที่อาจจะเป็นพลทหารก็ได้ เพราะทหารอาชีพคงไม่อยากวุ่นวาย แต่อย่าลืมว่าพ่อแม่พี่น้องทหารสีไหนก็ตามก็เป็นทหารทั้งนั้น ตนไม่ได้ปิดกั้น
เมื่อถามว่า ข้อเสนอให้มีกลไกแก้ทางตันเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤต นายกฯ กล่าวว่า เขาเสนอมา เพราะไม่อยากให้ตนปฏิวัติ แต่กลไกที่ว่าอะไรก็ให้ไปหามา เมื่อถามว่า เหมือนต้องการให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า ไม่รู้ ก็ให้ไปหามา ให้มี คปป. ได้ไหมเล่า ต้องทำประชามติไม่ใช่เหรอ ก็ทำไป ถ้าไม่เห็นด้วยกับ คปป. ก็เขียนเอา ก็ไม่ผ่าน แต่ถ้าคิดว่ามันต้องมีกลไกสักอัน มีอะไรดีกว่า คปป. ก็ไปหาอันนั้นมา ถ้าไม่ดีก็ คปป. ได้ไหม คิดแบบนี้จะได้มีทางออก ไม่ใช่มาบอกว่าต้องเป็นประชาธิปไตย ต้องเลือกตั้งอย่างเดียว
“นึกว่าอยากปฏิวัตินักเหรอ มันง่ายนักหรือไงการปฏิวัติ มันเสี่ยงทุกคนนั้นแหละ ถ้าไม่สำเร็จจะเกิดอะไรขึ้น ตนคงไม่ได้ยืนตรงนี้ ถูกประหารชีวิตไปแล้ว ตรงนี้คือความเสี่ยงของตน แต่ต่อให้เสี่ยงเท่าไรก็ตาม ถ้าเพื่อประเทศตนทำได้หมด ตนโตมากับคำนี้ ตายก็ตายกับคำนี้ ชาติหน้าก็เป็นแบบนี้อีก ถ้าได้เกิด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ออกมาระบุว่า ผิดหวังกับรัฐบาลไทยที่ส่งกลับชาวผู้ลี้ภัยชาวจีน 2 คนแก่ทางการจีน ว่า ได้อธิบายไปแล้วว่าต้องเข้าใจ ว่า คนเหล่านี้ไม่ใช้ว่าเดินไปอยู่ดี ๆ แล้วสะกิดมาจับ แต่เขาจับทั่วไปและเมื่อเจอผู้ลี้ภัย 2 คนนี้ ซึ่งพบว่ากระทำความผิดตามกฎหมายหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งจำเป็นต้องตรวจสอบต้นทางว่ามาจากไหน เป็นคนชาติไหนมีหมายจับหรือไม่ ซึ่งบังเอิญว่า 2 คนนี้ พบว่า มีหมายจับจากประเทศต้นทาง และเมื่อมีการขอตัวมาก็จำเป็นต้องส่งตัวกลับไป ส่วนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ หรือ UNOHCHR เขาไม่รู้เรื่อง ว่า ชื่อของคนเหล่านี้อยู่ในกระบวนการของกลุ่มบุคคลในความห่วงใย เช่น ผู้แสวงหาที่พักพิง กลุ่มผู้คนพลัดถิ่นในประเทศ บุคคลไร้รัฐ หรือที่เรียกว่า Persons of Concern (POC) โดยจะให้เราหาประเทศที่ให้ไปอยู่ได้ภายใน 2 - 3 วันจะเป็นไปได้หรือ
นายกฯ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ตนพูดข้อเท็จจริงให้เขาฟัง และเกิดความเข้าใจ แต่เวลาเขาพูดอะไรออกมา อย่าลืมว่าเขาพูดหลุดจาหลักการของเขาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ใครไม่เข้าใจตนก็ชั่ง แต่ขอให้คนไทยเข้าใจว่าทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติ และก็เป็นไปตามกฎหมายของไทย หรือท่านจะให้ทำอย่างไรก็ได้ ใครจะมาจะไปก็ได้ หรือว่าไม่ต้องไปจับจะได้ไม่ต้องมีปัญหา ให้อยู่ไปเป็นสถานที่เพาะบ่ม เป็นฐานการส่งค้ามนุษย์แบบนี้จะเอาหรือไม่ หรือจะให้เก็บที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นพันเป็นหมื่นคนเอาหรือไม่ แล้วจะเลี้ยงไหวไหม แล้วก็โดนเรื่องสิทธิมนุษยชนอีก เพราะมันแออัด ต้องคิดให้ครบระบบให้รอบด้าน ต้องรู้กระบวนการเขาทำกันอย่างไร กฎหมายก็มีอยู่แล้ว ส่วนเรื่องส่วนตัวหรือไม่เป็นเรื่องของต้นทางว่าเขาเป็นใคร และพิสูจน์สัญชาติแล้ว บัตรประจำตัวเป็นของใครก็เป็นของประเทศนั้นเป็นหลักตามข้อเท็จจริง
นายกฯ กล่าวอีกว่า การส่งตัวต้องกำชับว่าหากส่งตัวไปแล้ว ตามกฎหมายที่มีก็ได้ขอให้ดูแลให้ดีว่าอย่าละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาก็รับปาก ซึ่งตนได้ชี้แจงไปหมดแล้ว ใครไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาพร้อมจะไม่เข้าใจอยู่แล้ว ถ้าลองถามกลับไปถ้าเกิดที่ประเทศเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่เห็นมีใครไปห้าม เขาจะส่งไปไหน ทำอะไรก็ได้ก็ไม่มีใครห้าม