ปธ.สปท.นำทีมพบปะสื่อ แจงโรดแมปอยู่ระยะที่ 2 ของสูตร 1+1+18 ครม.ตั้ง กก. 6 คณะติดตาม รับงานก้าวหน้าเกินคาด ลงพื้นที่พบ ปชช.ตอบรับดี แต่ส่งความเห็นน้อย แจงแผนลงพื้นที่ 4 ภาคฟังความเห็นร่าง รธน. “ทินพันธุ์” ยันเรื่องสำคัญทำเองไม่โยนของร้อนให้รอง ปธ. ยึดหลักผิดขอเข้าคุกก่อน ยก สปช.ทำงานเร็ว ให้เป็นผลงาน 90% สปท.มุ่งสานต่อเป็น กม.ให้มากที่สุด
วันนี้ (24 พ.ย.) ที่รัฐสภา ร.อ.ทินพันธุ์ นาคะตะ ประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.), นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธาน สปท.คนที่ 1 และ น.ส.วลัยรัตน์ ศรีอรุณ รองประธาน สปท.คนที่ 2 พร้อมด้วยทีมโฆษก สปท. ร่วมกันแถลงข่าวพบปะสื่อมวลชนประจำรัฐสภา (Meet the Press) เพื่อชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานของ สปท.
ร.อ.ทินพันธุ์กล่าวว่า กระบวนการทำงานของ สปท. อยู่ในโรดแมประยะที่ 2 ของสูตร 1+1+18 เริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. - 9 ธ.ค. เพื่อกลั่นกรองข้อเสนอ 37 วาระการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ขึ้นมาพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ทุกชุดต้องเสนอแผนการปฏิรูปต่อสภา ครบกำหนดในวันที่ 9 ธ.ค. เพื่อให้ สปท. พิจารณาต่อไปในโรดแม็ประยะที่ 3 เป็นเวลา 18 เดือน ในการนำเสนอการปฏิรูป นอกจากนี้ วันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน จำนวน 6 คณะ มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานทุกคณะ เพื่อควบคุมการดำเนินงานด้านการปฏิรูปร่วมกัน
ด้านนายอลงกรณ์กล่าวว่า การทำงานของ สปท.มีความก้าวหน้าเกินความคาดหมาย มีการจัดลำดับความสำคัญเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ตามดำริของนายกรัฐมนตรีที่ต้องประสานงานกันอย่างใกล้ชิด โดยมีการตั้งคณะกรรมการประสานงาน 3 ฝ่าย คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และ สปท. ส่วนการเปิดกว้างสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนนั้น แม่น้ำทั้ง 4 สาย ได้แก่ สนช., สปท., ครม. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนครั้งแรกที่ จ.น่าน และ จ.แพร่ ในวันที่ 14-15 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชน ซึ่งจะกำหนดจัดครั้งต่อไปในวันที่ 19-20 ธ.ค.ที่ จ.พะเยา และ จ.เชียงราย
ส่วน น.ส.วลัยรัตน์กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินงานของศูนย์สื่อสารสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศว่า ได้จัดตั้งขึ้นในวันที่ 20 ต.ค. เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญและการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ขณะนี้มีการส่งความคิดเห็นเข้ามาประมาณ 2,000 กว่าประเด็น ขณะที่ในสมัย สปช. ส่งเข้ามาประมาณ 10,000 ประเด็น ถือว่ายังน้อยมาก เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ จึงฝากช่วยสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการทำเพื่อการปฏิรูปประเทศด้วย
นายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก สปท.กล่าวเสริมว่า ในส่วนโครงการรับฟังความคิดเห็นในการร่างรัฐธรรมนูญ 4 ภาค 4 จังหวัดของ กรธ.มีกำหนดการลงพื้นที่ คือ ในวันที่ 1 ธ.ค. จ.สงขลา, วันที่ 8 ธ.ค. จ.ชลบุรี, วันที่ 9 ธ.ค. จ.นครราชสีมา และวันที่ 15 ธ.ค. จ.เชียงใหม่ ซึ่ง กรธ.จะรับฟังความคิดเห็นถึงภายในสิ้นปีนี้ ก่อนที่รัฐธรรมนูญร่างแรกจะเสร็จประมาณปลายเดือน ม.ค. หรือต้นเดือน ก.พ.ปีหน้า
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าประธาน สปท.ทำหน้าที่ในห้องประชุมน้อยเกินไป ร.อ.ทินพันธุ์กล่าวว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหากมีเรื่องสำคัญ เช่น การตั้งประธานกรรมาธิการ ตนก็จะทำหน้าที่เป็นประธานจนจบ โดยไม่โยนของร้อนให้รองประธานทั้ง 2 คนเด็ดขาด ตนยึดหลักที่ว่า หากทำผิดขอเข้าคุกคนแรกก่อนเพื่อน และช่วงที่รองประธานทำหน้าที่ในห้องประชุม ตนก็จะออกไปประสานงานข้างนอก รับฟังปัญหาต่างๆ ซึ่งอยู่ในห้องประชุมสบายกว่า ต้องยอมรับว่า ที่ผ่านมา สปช.ทำงานไว้ดีมาก ซึ่งขณะนี้ สปท.ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องใหม่เลย เราไม่เริ่มจากศูนย์ ถือว่าของดีมีอยู่แล้ว จึงมาสานต่องาน ที่ผ่านมาตนได้พูดกับนายเทียนฉาย กีระนันทน์ อดีตประธาน สปช.ว่าผลงานเป็นของนายเทียนฉาย 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของตนมีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะ สปท.มีหน้าที่ในการขับเคลื่อนให้แผนงานที่ สปช.ทำไว้ให้เป็นจริง ผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมายให้มากที่สุด ไม่ใช่เป็นเพียงแผนงานปฏิรูป ตนจึงต้องออกไปพบกับรัฐมนตรีตามกระทรวงต่างๆ เพื่อนำร่างกฏหมายไปให้พิจารณาเห็นชอบ ถ้าสำเร็จได้ 1 เรื่องก็ดี 10 เรื่องก็ถือว่าประเสริฐ ถ้ามากกว่านั้นก็ยิ่งดีใหญ่ โดยจะพยายามทำให้ดีที่สุด