โฆษกรัฐบาล เผย ปริมาณน้ำ 4 เขื่อนหลัก มีเกินความต้องการใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งแค่ 657 ล้าน ลบ.ม. ขณะที่มีการปล่อยของเน่าเสียลงแม่น้ำจนต้องระบายน้ำลงทะเลเพิ่ม ทำปริมาณน้อยลงอีก นายกฯ สั่งกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เร่งจัดการโรงงานเห็นแก่ตัวด่วน
พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ปริมาณน้ำใช้การได้ของ 4 เขื่อนหลัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนภูมิพล เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และเขื่อนแควน้อยบำรุงแดน มีจำนวนทั้งสิ้น 4,157 ล้าน ลบ.ม. โดยรัฐบาลคาดการณ์ว่าจะมีความต้องการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งหน้า คือ นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงเดือนกรกฎาคม 2559 จำนวน 3,500 ล้าน ลบ.ม. ดังนั้น จะมีปริมาณน้ำเกินไว้สำหรับบริหารความเสี่ยงหากเกิดความต้องการน้ำกรณีฉุกเฉินใน 4 เขื่อนหลักดังกล่าวอีก 657 ล้าน ลบ.ม.
อย่างไรก็ตาม พบว่า นอกจากมีเกษตรกรบางส่วนได้พยายามจะสูบน้ำไปใช้เพื่อทำนาปรังแล้ว ยังพบอีกด้วยว่ามีแม่น้ำสายหลักบางสายในพื้นที่ภาคกลาง เช่น แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย และคลองสาขา เกิดภาวะเน่าเสียและมีปลาตาย เนื่องจากมีการทิ้งสิ่งปฏิกูล มีการระบายน้ำเสียจากพื้นที่เกษตรกรรมและโรงงานอุตสาหกรรมลงสู่แม่น้ำ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นที่จะต้องปล่อยน้ำจากเขื่อนที่อยู่บริเวณต้นน้ำในปริมาณที่มากกว่าปกติเพื่อผลักดันน้ำเสียออกทะเล ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในเขื่อนดังกล่าว
“ท่านนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปบูรณาการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ทั้งนี้ ให้กระทบต่อปริมาณน้ำในเขื่อนให้น้อยที่สุด รวมทั้งตรวจสอบมาตรฐานในการบำบัดน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมก่อนปล่อยออกสู่พื้นที่สาธารณะ ตลอดจนสร้างความเข้าใจกับประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำและใช้ประโยชน์จากแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำท่าจีน แม่น้ำน้อย หรือแม่น้ำสายอื่น ๆ ไม่ให้เกิดการเน่าเสียในลักษณะเช่นนี้อีก ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันดูแลรักษาคุณภาพน้ำ หลีกเลี่ยงการทิ้งสิ่งปฏิกูลทุกชนิด เพื่อจะได้ไม่ต้องเพิ่มปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนผลักดันน้ำเสีย ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำที่จำเป็นสำหรับการอุปโภคบริโภคและการรักษาระบบนิเวศในช่วงฤดูแล้งหน้าที่คาดว่าจะรุนแรงมากกว่าปกติ”