รายงานการเมือง
โชว์ลีลาสาดแข้งฉบับมวยไชยาให้เห็นกันจะจะต่อหน้าสื่อก่อนขึ้นไปนั่งหัวโต๊ะประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เตะป้าบไปที่บั้นเอวนักมวย ราวกับผ่านสังเวียนมานักต่อนักแบบมืออาชีพ
ให้ดูกันเลยว่าแข้งซ้ายของผู้นำประเทศ ยังหนักหน่วงห้าวหาญตามสไตล์ทหารเสือ เห็นลีลามวยของ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วต้องบอกว่าไม่ต่างจากฝีปากเพราะให้สัมภาษณ์แต่ละทีต้องออกอาการดุดัน ชักสีหน้าสีตาไปพร้อมๆ กัน กลายเป็นผู้นำหน้าดุ ปากไว
นับตั้งแต่เข้ามาบริหารประเทศ “บิ๊กตู่” ได้รับการจัดอันดับกันเล่นๆในมุมของสื่อมวลชนว่าเป็นผู้นำรัฐบาลที่ให้สัมภาษณ์สื่อยาวเหยียดและพูดเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีนายกรัฐมนตรีมา ถึงขนาดมีคนนับจำนวนคำเวลาที่ พล.อ.ประยุทธ์ไปพูดให้สภา จับเวลากันเป็นวินาที พบว่าทุบสถิติ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ ที่ครองแชมป์คนพูดเร็วไปอย่างขาดลอย
แต่ลีลาการใช้โวหารพักนี้ดูดร็อปลงไปมาก นับตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคมเป็นต้นมา จนถึงวันที่ 20 ตุลาคมก็หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ที่ไม่ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน เปลี่ยนช่องส่งสัญญาณหันมาใช้บริการโฆษกรัฐบาล พล.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด เป็นผู้ชี้แจงแทนในแทบทุกเรื่อง ทำให้เกิดข้อสังเกตไปต่างๆ นานาถึงความผิดปกติของท่านผู้นำ จากที่เคยให้สัมภาษณ์กันทุกวัน วันละหลายครั้ง แล้วอยู่ดีๆ งดจ้อแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอางงเกิดเครื่องหมายคำถามกันทั่วหน้า
บางกระแสบอกว่า “บิ๊กตู่” ถูกผู้หลักผู้ใหญ่ติติงมาเรื่องการตอบคำถามสื่อ และการให้สัมภาษณ์ในประเด็นการเมือง ที่บางครั้งถูกนำไปขยายผลไปในทางลบ สร้างความปริแตกในสังคมอย่างต่อเนื่อง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ เวลาให้สัมภาษณ์ใบหน้าสื่ออารมณ์ดุดัน บูดบึ้งขึ้งโกรธ เมื่อนำไปถ่ายทอดออกจอในเวลาที่จำกัด ทำให้ถูกตัดทอนเหลือเพียงช่วง “ตีหน้ายักษ์” ออกจอ ทำให้ภาพดูแข็งกร้าว
หลายครั้งที่ผ่านมาทีมงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เคยขอให้สื่อมวลชน อย่าตั้งคำถามที่ทำให้นายกฯ ต้องอารมณ์ขึ้น จนทำให้ภาพที่ออกมาทำให้ท่านผู้นำเป็นคนเจ้าอารมณ์ เกรี้ยวกราด แต่ที่สุดแล้วภาพอารมณ์ขุ่นมัวยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะตัวไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
กระทั่งมาถึงช่วงสำคัญในการเดินหน้ากับคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเห็นได้ว่าในการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกหยิบยกเวิร์ดดิ้งสำคัญๆ ทั้งเรื่องการใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นจัดการกับคนทุจริต รวมทั้งยืนยันไม่ได้ไล่บี้ไล่ล่าใคร แต่ที่สุดแล้วในบางมุมถูกนำไปขยายผลทางการเมืองทำให้เกิดความขัดแย้งจนได้
จะเป็นเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้มีผู้ใหญ่ที่หวังดีติติงมา จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำที่ให้สัมภาษณ์ได้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักการส่งสารกับสื่ออย่างที่เคยมา จนครบ 1 สัปดาห์เต็มๆ เพื่อลดทอนอารมณ์ที่สังคมจับตามองการตอบโต้เรื่องดำเนินการเรื่องจำนำข้าว ซึ่งคงไม่เหมาะที่นายกฯ จะขึ้นสังเวียนชกในฐานะคู่ต่อสู้ด้วยตัวเอง ทำให้เจ็บตัวเปล่าๆ จึงส่งมวยแทนอย่าง “เสธ.ไก่อู” ออกมาโต้แทน พร้อมกับนักกฎหมายชั้นอ๋องอย่าง “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย คอยชี้แจงเรื่องกฎหมายให้สังคมรับรู้รับทราบ
เพราะสังคมเองก็จับตาเรื่องการจำนำข้าวอย่างไม่กะพริบ ส่วนหนึ่งอาจมองว่ารัฐบาลจงใจใช้อำนาจในการไล่บี้ฝ่ายตรงข้าม ถ้าโต้ตอบกันไปมาระหว่างสถานะทางเพศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะเพศหญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ กับชายชาติทหาร มองอย่างไงก็หนีไม่พ้น “ผู้ชายรังแกผู้หญิง” งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ยิ่งพูด ก็มีแต่เสียกับเสีย ทำกระแสตีกลับเข้าตัว ไม่ส่งผลในทางบวก น่าจะยึดภาษิตไทย “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” จะดีกว่า เพราะสำนวนไทยยังใช้ได้เสมอในทุกสถานการณ์
หลังจากหายหน้าไป 1 สัปดาห์เต็ม กลับมาคราวนี้ “บิ๊กตู่” ยังคงมีลีลาแบบเดิมๆ ให้สัมภาษณ์ยาวเหยียด สื่อจับเวลาได้ 46 นาที แกะกันคำต่อคำออกมา 12 หน้ากระดาษเอสี่กันเลยทีเดียว ออกตัวก่อนเลยที่หายหน้าไปยังทำงานอยู่บนตึกไทย ไม่ได้ไปไหน ไม่ได้โกรธแค้นสื่อ นั่งทบทวนงาน เตรียมประชุมแม่น้ำ 5 สาย ที่ต้องไปให้นโยบายกับแม่น้ำ 2 สายที่ผุดขึ้นมาใหม่
นี่คืออารมณ์ “บิ๊กตู่” ที่ไม่เคยเปลี่ยนเลย คงคอนเซ็ปต์อธิบายยาวยืด กังวลเรื่องการสื่อสารกลัวประชาชนไม่เข้าใจ จึงเป็นที่มาของเนื้อหาให้สัมภาษณ์ละเอียดยิบ แม้ร้างเวทีสัมภาษณ์ไปหลายวันแต่ลีลา ไม่วายหลุดอารมณ์โผงผาง เขย่าโพเดียม กระทืบเท้าออกมาเป็นระยะ ตามคอนเซ็ปต์เดิมเป๊ะ แต่พอรู้ตัว “บิ๊กตู่” ก็พยายามเบรกอารมณ์ตัวเอง
หลายคนก็เดาทาง “บิ๊กตู่” ถึงการปรับท่าทีของตัวเองครั้งนี้ บอกได้เลยว่าเงียบได้ไม่นานแน่