ทีมเศรษฐกิจ “รองฯ สมคิด” ถกจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์ใหม่ เน้นตามภารกิจ-ผ่านโครงการต่างๆ ส่งเสริมระดับจังหวัด-ท้องถิ่นเสนอของบพัฒนาท้องถิ่น ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เผยเตรียมเสนอ ครม.ดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์พรุ่งนี้ ด้านทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยฉะ คสช.ละเลยชาวนา ชี้ GDPไทยขยายต่ำสุดในอาเซียน
วันนี้ (12 ต.ค.) มีรายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ได้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานด้านเศรษฐกิจร่วมกันเป็นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการเมื่อช่วงเช้า เพื่อเป็นการหารือให้การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ และให้แต่ละหน่วยงานมีแผนรับมือหากเกิดปัญหาต่างๆ รวมทั้งเตรียมข้อมูลเพื่อเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 13 ต.ค.นี้ โดยได้มีการจัดประชุมในรูปแบบนี้ทุกวันจันทร์
“วันนี้ก็ได้นัดประชุมคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจร่วมกันเป็นครั้งแรกอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อเป็นการหารือ ให้การทำงานด้านเศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ และให้แต่ละหน่วยงานมีแผนรับมือหากเกิดปัญหาต่างๆ” นายสมคิดกล่าว และว่าจะกำชับให้ รมว.คลัง ให้หามาตรการดูแลเรื่องวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) เพื่อให้สร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุนให้เข้ามาเร่งลงทุนในกลุ่มนี้ เพื่อให้เกิดการลงทุนอย่างจริงจังทั้งรายเล็กและรายใหญ่ หลังจากที่ราคาน้ำมันปรับลดลงก็จะให้กระทรวงพาณิชย์ไปดูแลตรวจสอบราคาสินค้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อให้ปรับลดลงเช่นกัน โดยจะขอความร่วมมือกับพ่อค้าแม่ค้าด้วย พร้อมกันนั้นจะกำชับไปยัง รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวมถึง รมว.พาณิชย์ ให้ดูแลปัญหาราคาสินค้าเกษตรอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะราคายางพารา และปาล์มน้ำมัน
ภายหลังจากหารือ นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบใหม่ เพื่อต้องการแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การจัดสรรงบประมาณตามภารกิจหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเสนอขอจัดสรรงบประจำปี และอีกด้านคือการจัดสรรงบประมาณตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลผ่านโครงการต่างๆ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ระดับจังหวัดและท้องถิ่นเสนอของบประมาณพัฒนาพื้นที่เพื่อพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่ให้การใช้งบประมาณเกิดความซ้ำซ้อน และต้องการเน้นการสรรงบประมาณเพื่อยุทธศาสตร์เพิ่มขึ้น คาดว่านำไปใช้ในการจัดสรรงบประมาณปี 2560
สำหรับการจัดทำยุทธศาสตร์การใช้งบประมาณ เพื่อนำเงินออกไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน ยุทธศาสตร์การลงทุนโครงการขนาดใหญ่ การจัดสรรงบประมาณลงพื้นที่ หรือกลุ่มจังหวัดนั้น เพราะได้รับจัดสรรประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกระทรวงการคลังเสนอมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์มาให้พิจารณาแล้ว จึงต้องเสนอให้นายกรัฐมนตรีรับทราบและเสนอ ครม.พิจารณาในวันที่ 13 ต.ค. ทั้งนี้ เพื่อต้องการแก้ปัญหาจากสถาบันการเงินพิจารณาปล่อยสินเชื่ออย่างเข้มงวดในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
มีรายงานว่า สำหรับการดูแลภาคอสังหาริมทรัพย์เบื้องต้นกระทรวงการคลังเสนอการลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 0.1 เหลือร้อยละ 0.01 การให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่มวงเงินสินเชื่อ ระยะเวลาการผ่อนชำระนานขึ้นและการลดยอดการผ่อนชำระแต่ละเดือน เพื่อลดภาระการผู้ซื้อที่อยู่อาศัย
อีกด้าน นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล พยายามบอกว่าเศรษฐกิจเลยจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังจะฟื้นตัวว่า คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยก็อยากเห็นเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแท้จริงเช่นกัน ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังต้องโตมากกว่าครึ่งปีแรก เศรษฐกิจในปีหน้าต้องโตมากกว่าในปีนี้ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ธนาคารโลกบอกว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะโตได้เพียง 2.5% ปีหน้าโตเพียง 2% ต่ำที่สุดในอาเซียน และจะทำให้ประชาชนลำบากมาก นักศึกษาที่จบใหม่จะตกงานกันมากขึ้น
นอกจากนี้ หากเศรษฐกิจฟื้นจริง การส่งออกต้องไม่ติดลบแล้ว แต่จากข้อมูลจากผู้ส่งออกบอกว่า คำสั่งซื้อในไตรมาสหลังยังหดลงเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่การส่งออกทั้งปีจะลดลงถึง 5-6% จาก 8 เดือนแรก ที่ลดไปแล้ว 4.92% นอกจากนี้ การลงทุนจะต้องมากขึ้น ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณการลงทุนจากในประเทศ และต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่รัฐสภาอียูมีมติคงมาตรการการกดดันทางเศรษฐกิจ และการเมืองกับไทยต่อไปจนกว่าจะกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ยิ่งทำให้การลงทุนจากต่างประเทศหดหายไปอีก การบริโภคในประเทศก็ไม่เพิ่มขึ้นจากความมั่นใจของผู้บริโภคยังคงลดต่ำลงเรื่อยๆ และประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความลำบากจากรายได้ที่หดหาย และอาจจะต้องเจอภาวะภัยแล้งอีกในปีหน้า ดังนั้นจึงอยากให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างแท้จริงโดยมีผลชัดเจน ไม่ใช่เพียงแค่ลมปาก เพราะจะทำให้ประชาชนยิ่งผิดหวังมากกว่าเดิม
นายจักรพงษ์ แสงมณี อดีตกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจโลกของ 2 หน่วยงานสากล คือ IMF และ World Bank เผยว่าประเทศไทยมีอัตราการ ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2 ในปี 2558 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น ประเทศเวียดนาม ขยายตัวที่ร้อยละ 6.2 หรือประเทศกัมพูชา ขยายตัวที่ร้อยละ 6.9 จะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีอัตราการขยายตัวทีน้อยกว่าประเทศเหล่านั้นอย่างมีนัยยะสำคัญ สาเหตุหลักมาจาก 1. การส่งออกที่ติดลบมาตลอด 8 เดือน 2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 3. ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมก็ต่ำสุดในรอบ 15 เดือน 4. ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการบริโภคภายในประเทศ และยิ่งไปดูประมาณการ GDP ไปอีก 2-3 ปีข้างหน้า จะยิ่งเห็นได้ชัดว่าประเทศเพื่อนบ้านมีอัตราการขยายตัวได้ดี กว่าประเทศไทย
นายจักรพงษ์กล่าวว่า ขอย้อนไปเมื่อปี 2556 ในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาล GDP ของประเทศขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.4 และหนึ่งในนโยบายทีสำคัญในการขันเคลื่อนเศรษฐกิจก็คือโครงการรับจำนำข้าว เพราะเป็นโครงการสำหรับช่วยเหลือชาวนาโดยตรงซึ่งมีอยู่ถึง 3.7 ล้านครัวเรือน โดยโครงการรับจำนำข้าวมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. ผลกระทบทางตรงจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการนำเอาข้าวมาเข้าโครงการ 2. รายได้ที่เพิ่มขึ้นของชาวนาที่ขายข้าวในตลาดในราคาที่สูงขึ้น กว่ากรณีที่ไม่มีโครงการ 3. ผลกระทบทางอ้อมจากปริมาณเงินหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นจากตัวคูณทวีการใช้จ่าย ซึ่งชาวนาถือเป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ ที่มี Marginal Propensity to Consume ในระดับที่สูง อันจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจตามมา ยกตัวอย่างในปี 2555 ชาวนาที่เข้าร่วมทำให้มีเงินเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้นประมาณ 123,000 ล้าน พอรวมกับ Mutiplier Effect จะทำให้มีเงินหมุนเวียนทั้งสิ้นกว่า 300,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.6 ของ GDP นโยบายจำนำข้าวจึงเป็นโครงการทำให้ทั้งการส่งออก ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรม และการบริโภคภายในประเทศดีตามไปด้วย
ขณะที่รัฐบาลปัจจุบันกลับละเลยชาวนาที่เป็นฐานรากของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2558 และ 2559 นั้นรัฐบาลกลับสั่งห้ามไม่ให้ทำนา ทำให้มีปริมาณข้าวลดต่ำลงประมาณร้อยละ 20-30 อันจะทำให้ข้าวเปลือกจากปีละ 35 ล้านตัน เหลือเพียง 26 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าความสูญเสียประมาณ 100,000 ล้านบาท และถ้าเทียบราคาข้าวเปลือกในปัจจุบันกับราคาในสมัยนายกยิ่งลักษณ์แล้ว ยิ่งจะเห็นได้ว่ามีราคาทีแตกต่างกันอย่างมาก เหมือนเป็นการซ้ำเติมชาวนา ทั้งจากการไม่ให้ปลูกข้าว และไม่ช่วยในด้านราคาอีก ทำให้ชาวนาซึ่งเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อยอยู่แล้วให้เค้ามีรายได้ที่น้อยลงไปอีก
“ผมอยากขอให้รัฐบาลปัจจุบันซึ่งก็คงจะอยู่อีกเป็นปีๆ ตาม Road Map ของท่านให้ช่วยดูแลชาวนาและเกษตรกรพืชสำคัญชนิดอื่นบ้าง อยากให้ทุกครั้งที่ท่านทานข้าวแล้วนึกถึงชาวนาต้องลำบากขนาดไหนกว่าที่จะปลูกข้าวมาให้ท่านทานกัน ผมมั่นใจว่าเมื่อไหร่ที่เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น มันจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเอง” นายจักรพงษ์กล่าว