ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าเป็น “ข่าวร้าย” แบบรายวันสำหรับครอบครัวนี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ศาลอาญาได้ยกคำร้องคดีที่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นฟ้องอัยการสูงสุดและคณะรวม 4 คนฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามมาตรา 200 กล่าวโดยสรุปก็คือ ศาลเห็นว่าจำเลยทำตามกฎหมาย ตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ โดยคำฟ้องที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นการ “คิดไปเอง” อีกทั้งตามขั้นตอนทางกฎหมาย ตามกระบวนการยุติธรรม ศาลก็เปิดโอกาสให้ฝ่ายจำเลยได้โต้แย้งโดยสามารถนำพยานทั้งเอกสารและบุคคลเข้ามาต่อสูัได้อย่างเต็มที่อยู่แล้ว
ทั้งนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ฟ้อง นายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด (อสส.) นายชุติชัย สาขากร ผู้ตรวจการอัยการ อดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายกิตินันท์ ธัชประมุข รองอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน คณะทำงานพิจารณาคดีโครงการจำนำข้าว และมีความเห็นสั่งฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีโครงการจำนำข้าว ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4
แม้ว่าตามขั้นตอนทางกฎหมาย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ และเมื่อฟังจากปากทนายความที่รับมอบอำนาจแล้วยังเชื่อว่าคงต้องอุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ก็ทำให้พอมองเห็นอนาคตได้ล่วงหน้าว่ามัน “ริบหรี่” เพียงใด แต่ก็นั่นแหละในเมื่อยังมีโอกาสดิ้นรนก็คงต้องดิ้นกันสุดชีวิต เผื่อมีโอกาสรอด
แน่นอนว่าสำหรับคอการเมือง และคนที่ติดตามคดีตามใต้ถุนศาลก็ย่อมมองออกได้ไม่ยากว่านี่คือแท็กติกการ “ยื้อ” ลุ้นให้ศาลรับฟ้องคดีที่ฟ้องพนักงานอัยการโดยมิชอบดังกล่าวเอาไว้ก่อน อย่างน้อยก็อาจหวังว่านำไปร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่รับฟ้องคดีจากโครงการรับจำนำข้าวในฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ไม่ระงับยับยั้งจนทำให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล โดยอาจร้องให้ชะลอการพิจารณาคดีเอาไว้ก่อน เนื่องจากมีการฟ้องอัยการฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบเอาไว้แล้ว อะไรประมาณนั้น
เนื่องจากคดีดังกล่าวในศาลฎีกาฯ ก็เริ่มเดินหน้าตามกระบวนการแล้ว ซึ่งก็รับรู้กันว่ากระบวนการในการพิจารณาของศาลฎีกาฯ ใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งมีการประเมินกันว่าอย่างช้าที่สุดไม่น่าจะเกินสองปี ซึ่งความหมายก็คืออาจเร็วกว่านั้นคือประมาณปีเศษ
ดังนั้น เมื่อศาลอาญายกคำร้องในคดีที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟ้องอัยการสูงสุดกับพวกรวม 4 คนในครั้งนี้ก็ทำให้ความหวัง “พังทลาย” ลงทันที โดยเฉพาะความหวังสุดท้ายในการยื้อคดีโครงการรับจำนำข้าวในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีแนวโน้มที่จะจบลงทันที และที่สำคัญศาลอาญาได้ให้เหตุผลว่าอัยการทำตามหน้าที่ตามกฎหมาย และที่สำคัญหากเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือยังไม่มีการพิจารณาพยานเอกสารและบุคคลครบถ้วนก็สามารถนำไปพิสูจน์กันในศาลได้อย่างเต็มที่ซึ่งศาลย่อมเปิดโอกาสให้ฝ่ายจำเลยได้นำมาโต้แย้งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี มองในมุมของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันก็น่าเห็นใจ เพราะการถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากศาลศาลพิพากษาออกมาเป็นความผิด นั่นย่อมหมายถึงคุกตะราง มันก็หนักหน่วงเกินไปสำหรับเธอ และขณะเดียวกัน หากคดีมีความผิดอาญาก็ย่อมมีผลต่อเนื่องมาถึงคดีแพ่งที่จะต้องถูกเรียกค่าเสียหายตามมาอีก จากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขความเสียหายเบื้องต้นเข้ามาแล้วว่ามีไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท และรัฐบาลเตรียมใช้วิธีบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายซึ่งอาจเลวร้ายถึงขั้น “ยึดทรัพย์” เลยทีเดียว และแนวโน้มใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น เมื่อศาลยกฟ้องคดีที่ฟ้องอัยการสูงสุดและคณะปฏิบัติหน้าที่มิชอบไม่สำเร็จแบบนี้มันก็เหมือนกับความหวังที่จะ “ยื้อ” เวลาออกไปให้นานที่สุด อย่างน้อยก็ลุ้นให้ยาวไปถึงการเลือกตั้งในปี 2560 หวังว่าจะได้กลับมาอีกครั้ง แต่เมื่อผลออกมาอย่างที่เห็นมันก็เหมือนกับฝันสลายปลายฤดูฝน เป็น “ลางร้าย” อีกเรื่องหนึ่งที่ประดังเข้ามาซ้ำเติมอีก!