ตามจับ “อ๊อด” พิสูจน์ศักดิ์ศรีตำรวจ-คุ้ยขยะใต้พรม!!

ผ่าประเด็นร้อน

ฉับพลันที่ “อ๊อด” คนหนึ่งในชื่อจริงว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเนื่องจากเกษียณอายุราชการ สับเปลี่ยนมาให้คนใหม่คือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา มานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันนี้แทน ก็เริ่มเดินหน้าสืบค้น สืบหาในการจับกุมตัว “อ๊อด” อีกคนหนึ่ง ในชื่อ อ๊อด พยุงวงศ์ หรือยงยุทธ พบแก้ว ซึ่งตามประวัติที่ฝ่ายตำรวจในยุคปัจจุบันระบุเอาไว้ก็คือ “มีประวัติร้ายกาจ” ก่อคดีและมีส่วนเกี่ยวข้องในหลายคดีสำคัญ อย่างน้อยก่อนหน้านี้ทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่แถลงก่อนเกษียณราชการไม่กี่ชั่วโมงก็ย้ำว่า “อ๊อด” คนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีระเบิด “สมานเมตตาแมนชั่น” ย่านบางบัวทอง นนทบุรี เมื่อปี 2553 และเหตุระเบิดที่อพาร์ตเมนต์ที่มีนบุรี เมื่อปี 2557 ขณะเดียวกัน จากแฟ้มประวัติพบว่ายังเคยมีคดีมากมาย ทั้งที่เป็นคดียาเสพติด การพนัน

แต่ที่น่าสนใจก็คือ นายอ๊อด พยุงวงศ์ หรือยงยุทธ พบแก้ว คนนี้เคยเป็นการ์ด นปช. หรือคนเสื้อแดง เคยถูกศาลพิพากษาจำคุกในคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อปี 53 แต่รอลงอาญา และน่าแปลกใจก็คือ ประวัติของคนคนนี้ไม่เคยมีบัตรประชาชน ไม่มีเลข 13 หลัก ลักษณะเหมือนกับเป็น “บุคคลลึกลับ” จนแทบไม่อาจสืบค้นย้อนหลังได้เลย เพราะในทะเบียนประวัติอาชญากรก็มีการระบุเป็น “ข้อมูลปลอม” ทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ย้อนหลังในอดีต ก็ไม่น่าแปลกใจที่ในตอนนั้นรับรู้กันในยุคของ “ตำรวจมะเขือเทศ” เบ่งบาน เป็นยุคของตำรวจที่รับใช้การเมืองแบบเฉพาะเจาะจง นั่นคือรับใช้ “บางครอบครัว” ถึงขนาดที่นายตำรวจระดับสูงเอ่ยปากแบบไม่อายว่า “มีวันนี้...เพราะพี่ให้” ซึ่งก็ไม่ผิดหากพี่คนนั้นไม่ใช่โจร นั่นก็เท่ากับว่าตำรวจนับถือโจร เคารพบูชาโจร แต่ก็แปลกที่ไม่มีตำรวจคนไหนไปตบเท้าประท้วงว่านั่นเป็นการ “ทำลายระบบกฎหมาย” ลงแบบยับเยิน ในทางตรงกันข้ามตำรวจที่นับถือโจรพวกนี้กลับได้ดี ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตลอดเวลา ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด

วกกลับมาที่ “อ๊อดลึกลับ” อีกที ในยุคใหม่ที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ประกาศทันทีที่รับตำแหน่งว่าจะล้าง “ตำรวจมะเขือเทศ” ในควสมหมายก็คือทำให้ตำรวจพิทักษ์รับใช้ประชาชน แทนที่จะรับใช้การเมือง แม้จะรู้ว่าเป็นเรื่องที่ทำยาก แต่อย่างน้อยก็มีการพูดให้สัญญาที่ต้องอยู่ในสายตาของชาวบ้านตลอดเวลา

สิ่งที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีก็คือ มีการเช็กประวัติของ อ๊อด พยุงวงศ์ อย่างละเอียดยิบทันที จนทราบว่าเขามีลูกสองคน มีทั้งลูกติดภรรยา และลูกสาวที่ถูกชาวออสเตรเลียนำไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และยังมีแม่ที่อยู่สถานสงเคราะห์คนชราที่จังหวัดชลบุรี ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนและสอบสวนคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์ และสาทร ย้ำว่า แม้จะไม่มีประวัติ ไม่มีเลขสิบสามหลักก็สามารถตรวจสอบได้ และหลังจากนั้นก็มีการโชว์รูปของนายอ๊อดออกมาให้เห็น มีการทั้งทีมตรวจสอบ จัดชุดสายสืบจับกุมทันที เพราะจากการแถลงก่อนหน้านี้ของ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศ พล.ต.อ.จักรทิพย์ รวมทั้ง พล.ต.ท.ศรีวราห์ ก็ยืนยันว่านายอ๊อดเป็นกุญแจสำคัญที่จะสาวไปถึงคนบงการในคดีระเบิดที่ราชประสงค์ โดยค่อนข้างเชื่อว่าคนบงการ “น่าจะเป็นคนไทย”

เมื่อได้เห็นความเคลื่อนไหวแบบนี้ก็ทำให้เกิดความมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า นี่คือการกวาดล้างขยะออกไปเสียที หลังจากถูกซุกเอาไว้ใต้พรมมานาน แน่นอนว่ากรณีของ “อ๊อด” ที่สังคมเพิ่งรู้จักความร้ายกาจและรู้ที่มาที่ไปกันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง จากการแถลงของตำรวจที่เป็นทีมใหม่ ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่า น่าจะยังมีอีกหลายคนที่มีตัวตน “แบบลึกลับ” ในลักษณะเดียวกันที่อยู่ในมือของ “ตำรวจมะเขือเทศ” เพราะด้วยประวัติอันร้ายกาจที่ว่าแต่กลับไม่มีตัวตนให้สืบค้นมันก็ไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่ใช่เป็นฝีมือของตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐร่วมด้วยช่วยเหลือ

ดังนั้น การประกาศของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ทันทีที่รับหน้าที่ว่าจะสลายตำรวจมะเขือเทศออกไปให้หมด พร้อมทั้งมีการเคลื่อนไหวสืบค้น ติดตามจับกุม นายอ๊อด ตามหมายจับที่ 10 ในฐานะผู้ต้องหาคดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีวางระเบิดแยกราชประสงค์และสะพานสาทร โดยมั่นใจว่าต้องจับกุมได้ เพราะหากจับกุมได้ก็น่าจะสามารถสาวไปถึงผู้บงการได้เพิ่มขึ้นไปอีก ส่วนจะเป็นคนไทยหรือไม่ มันก็เริ่มเข้าเค้ามากขึ้น และสามารถมองหาจุดเชื่อมโยงได้ชัดขึ้น หากพิจารณาจากแบ็กกราวนด์ ย้อนไปถึงปี 53 และ ปี 57 รวมไปถึงปฏิกิริยาของแกนนำคนเสื้อแดงที่ออกมาโวยวายทันทีที่มีการเปิดเผยประวัติของ นายอ๊อดว่า เป็นการ์ด นปช.

อย่างไรก็ดี เชื่อว่าคงไม่มีใครหวั่นไหวกับคำขู่ของพวกแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านั้น เพราะสิ่งที่สังคมต้องการก็คือ อยากเห็นการการดำเนินคดีอย่างมีมาตรฐานสากล ทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน ส่วนจะไปเชื่อมโยงถึงใคร นั่นไม่ใช่ปัญหา!