ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าเป็นคราวเคราะห์หรือว่าเป็นเรื่อง “บังเอิญอย่างร้ายกาจ” หรือเปล่าก็ยังไม่อาจชี้ชัดลงไปในตอนนี้ได้กับกรณีที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เพิ่งถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศญี่ปุ่น จับกุมตัวที่สนามบินนานาชาติ นาริตะ คาด่านตรวจโดยเจ้าหน้าที่ได้เอกซเรย์พบปืนพกขนาดเล็กพร้อมกระสุนปืน 5 นัด ในกระเป๋าถือ ขณะเตรียมขึ้นเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา
กรณีดังกล่าวทำให้เกิดคำถามและทำให้เกิดการตรวจสอบตามมามากมาย ทั้งในเรื่องมาตรฐานการตรวจสอบด้านความปลอดภัยของสนามบิน โดยเฉพาะสนามบินสุวรรณภูมิที่เป็นสนามบินต้นทาง “ขาออก” ไปว่าหลุดรอดไปได้อย่างไร เพราะหลังจากถูกจับกุมที่ประเทศญี่ปุ่นเจ้าตัวอ้างว่า “ลืม” ไม่รู้ว่าติดตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่
อย่างไรก็ดี ไม่ว่าเป็นเพราะลืมหรือไม่ก็ตาม ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น เอาเรื่องแรกเฉพาะตัวก่อน หลังจากถูกจับกุมตัวได้ หากส่งฟ้องศาลก็น่าหนักใจ เพราะการพกพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนแบบนี้ไม่ว่าประเทศไหนล้วนมีโทษสูงทั้งสิ้น สำหรับโทษในญี่ปุ่นตามข่าวบอกว่าจำคุกไม่เกิน 10 ปี และที่สำคัญ “คุย” กันไม่ได้เสียด้วยซี เมื่อฟังจากคำสัมภาษณ์ของโฆษกของสำนักงานตำรวจแห่งชาติไทย พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ที่ยอมรับว่า คงช่วยเหลืออะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องกฎหมายภายในของประเทศญี่ปุ่น หรือแม้แต่สถานทูตไทยในญี่ปุ่นก็ทำได้แค่ประสานงานช่วยอำนวยความสะดวก แนะนำทนายความเพื่อรักษาสิทธิทางกฎหมายได้เท่านั้น
กรณี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ถูกจับกุมเกี่ยวกับอาวุธปืนที่สนามบิน นับว่าเป็นเรื่องที่ “น่าแปลก” อย่างยิ่งที่คนระดับนี้จะเผอเรอ เพราะต้องไม่ลืมว่าอดีตนายตำรวจคนนี้เป็นระดับตำรวจมือปราบ เคยผ่านงานคดีสำคัญมามากมาย ย่อมต้องมีความรอบคอบ รอบรู้ทางด้านกฎหมายเป็นอย่างดี คำพูดที่อ้างว่า “ลืม” นั้น สำหรับเขามันก็ฟังดูแปลกๆ
ขณะเดียวกัน การ “ลืม” หรือคำว่า “เผอเรอ” สำหรับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง มันก็เป็นไปได้เหมือนกัน หากยังจำกันได้กรณีคราวก่อนขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลแล้วเกิดกรณีลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลังขับรถหรูชนดาบตำรวจเสียชีวิต กำลังไล่บี้ทวงสิทธิ์ให้ตำรวจลูกน้องจนได้ใจสังคมในเวลานั้น แต่แล้วจู่ๆ อารมณ์สังคมก็เปลี่ยนหักมุม เมื่อเขาเปิดห้องให้นักข่าวเข้าไปสัมภาษณ์ แต่ดันลืมปลดรูปสำคัญที่เผยให้เห็นรูปที่ ทักษิณ ชินวัตร กำลังประดับยศให้เขา พร้อมทั้งวลีเด็ดที่ว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” และที่สังคมติดใจก็คือ ในความหมาย “ตำรวจนับถือโจร” ต่างหากที่สังคมรับไม่ได้ และตั้งแต่นั้นภาพลักษณ์ที่เคยสร้างเอาไว้พังครืน และถูกสังคมมองด้วยสายตาไม่น่าไว้วางใจเรื่อยมา
นอกเหนือจากนี้ การถูกจับกุมที่ญี่ปุ่นดังกล่าวของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ยังก่อให้เกิดคำถามตามมาอีก นั่นคือ “มาตรฐานความปลอดภัย” ของสนามบินสุวรรณภูมิ ว่ามีความหละหลวมหรือไม่ เพราะหาก พล.ต.ท.คำรณวิทย์อ้างว่าลืม และไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร ก็แสดงให้เห็นว่าเขาได้ผ่านด่านตรวจของสนามบินไปได้ และแม้ว่าจะมีความหลวมทั้งที่สนามบินนาริตะขาเข้าด้วย เพราะผ่านไปได้จนมาถูกจับตอนขาออกจะขึ้นเครื่องบินกลับประเทศไทย แต่กล่าวสำหรับประเทศไทยหากเกิดกรณีที่ว่าจริง มันยิ่งเสียหาย เนื่องจากเราเพิ่งถูกองค์กรการบินระหว่างประเทศ “ปักธงแดง” ในความหมายว่า “ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน” เมื่อมาเจอกับเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีกมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ เป็นการ “ตอกย้ำ” ให้เห็นเป็นตัวอย่างตามมาทันที
ดังนั้น ได้แต่หวังว่าผลการตรวจสอบที่เกิดขึ้นจะสามารถอธิบายได้ว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผ่านการตรวจสอบที่สนามบินสุวรรณภูมิขาออกอย่างโปร่งใสเท่านั้น
สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ งานนี้ถือว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนนี้เข้าข่าย “ทำปืนลั่น” แบบไม่ตั้งใจหรือเปล่า เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้น “กับรูปภาพและวลีมีวันนี้เพราะพี่ให้” จนความแตก คราวนี้ก็เช่นเดียวกันมีคำถามว่าเขาผ่านด่านตรวจออกไปได้อย่างไร มีการใช้สิทธิพิเศษจากพวกเดียวกันหรือไม่ แต่ถ้าไม่ใช่มันก็ถือว่าต้อง “มีเรื่องใหญ่” ตามมา นั่นคือต้องมีการสอบสวนและปรับปรุงมาตรฐานกันกราวรูด!!