ประธาน สนช.เผย “มีชัย” อยู่ คสช.มาแต่แรก เมื่อมีภารกิจก็ต้องนึกถึงคนร่วมหัวจมท้ายก่อน แต่ไม่ปิดกั้นคนอื่น รับ “อานันท์” รองมา ส่วนตัวเองไม่เหมาะ แจง สนช.ร่างกฎหมายลูกหรือไม่ อยู่ที่ร่างรัฐธรรมนูญชัดเจนไหม พร้อมเปิดพิธีครบ 40 ปีสัมพันธ์ทูตไทย-จีน โชว์ลีลาตีปิงปองกับทูตจีน ยกสัมพันธ์ดีกันมาตลอด ทูตจีนย้ำโลกเป็นอย่างไร สองชาติยังจริงใจต่อกัน เผยคนจีนมาเที่ยวไทยปีนี้เฉียด 5 ล้าน นิยมกินทุเรียน
วันนี้ (24 ก.ย.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะไปทาบทามนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่า นายมีชัยเป็นส่วนหนึ่งของ คสช.อยู่แล้ว โดยนายวิษณุ นายมีชัย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ และตนอยู่กับ คสช.มาตั้งแต่แรก ดังนั้นเมื่อมีภารกิจอะไรก็ต้องนึกถึงผู้ที่อยู่ด้วยกันมาก่อน นายมีชัยเป็นที่ปรึกษา คสช.มีตำแหน่งอยู่แล้ว การทาบทามจึงถูกต้องโดยหลักการและสามารถมาเป็นได้เลยโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมายอะไร แต่นายบวรศักดิ์ที่เคยทำหน้าที่เป็นประธาน กมธ.ยกร่างฯ มาแล้วคงไม่กลับมาอีก ส่วนนายมีชัยจะมีความเหมาะสมหรือไม่ ควรเป็นสิ่งที่คนอื่นประเมิน และ คสช.จะพิจารณาต้องอยู่บนหลักการที่ตนพูด คือ ร่วมหัวจมท้ายกันมาก่อน ส่วนชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นทางเลือก แต่เราต้องดูคนของเราก่อน การทาบทามต้องเรียงตามความเหมาะสม ถ้าข้ามฟากไปต้องมีเหตุผลพิเศษ แต่ไม่ได้หมายความว่าปิดกั้นคนอื่น คสช.จะหาคนที่เหมาะสมหรือคนที่อยากเป็นก็ให้เข้ามา แต่ตนไม่ได้สัญญาณจากนายอานันท์
นายพรเพชรกล่าวว่า ส่วนตัวคงไม่มีความเหมาะสมจะนั่งประธาน กรธ. ถ้าจะไปเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย ส่วนที่มีข่าวจะผลักดันสมาชิก สนช.มาเป็น กรธ.นั้น ไม่ใช่เฉพาะ สนช. แต่ยังมีอีกหลายส่วนที่เสนอตัวเข้ามาเป็น ในส่วนสมาชิก กรธ.ไม่มีปัญหา แต่ที่ยังไม่ลงตัวคือตำแหน่งประธาน กรธ. ขณะนี้มี สนช.บางส่วนเสนอตัวเป็น กรธ. แต่คนที่จะตัดสินใจคือ คสช. โดยมีหลักการพิจารณา 2 ปัจจัย คือ 1. ดุลพินิจของประธาน คสช. 2. คนที่จะมาเป็นประธาน กรธ. ส่วนข้อเสนอให้ สนช.พิจารณาออกกฎหมายลูกไปก่อนนั้น หากรัฐธรรมนูญมีความชัดเจนในหลักการแต่เนิ่นก็สามารถร่างกฎหมายลูกไปพลางได้ แต่ถ้ารัฐธรรมนูญยังโลเล สนช.คงไม่อยากร่างฯ ฟรี แต่บางอย่างสามารถเตรียมการได้ ในฐานะประธาน สนช.ต้องดูทิศทาง ถ้ามี สนช.เป็น กรธ.ด้วยก็ดี จะได้รู้ทิศทางเพื่อเตรียมการได้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของสังคม หรือใครบางคนที่เรียกร้องให้มันเร็วขึ้น ระหว่างนี้ สนช.สามารถเตรียมการไปก่อนได้ ถ้าไม่มีอะไรที่เหาะเหินเกินลงกาแบบที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีพูด
ทั้งนี้ นายพรเพชรได้เป็นประธานในพิธีเปิดงานฉลองครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายหนิง ฟู่ขุย เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยเข้าร่วม โดยก่อนเริ่มพิธีเปิดงานได้มีการตีปิงปองระหว่างนายพรเพชรกับนายหนิง ฟุ่ขุย เพื่อเป็นการสัญลักษณ์ในการกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย ทั้งนี้ภายในงานได้มีการจัดนิทรรศการความสัมพันธ์ซึ่งได้มีการชงชา แสดงดนตรีประจำชาติของไทยและจีน
นายพรเพชรกล่าวเปิดงานว่า ประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2518 โดยตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมาทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีกันตลอด และมีการแลกเปลี่ยนการเยือนกันอย่างสม่ำเสมอทั้งในระดับพระราชวงศ์ รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ โดยความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจจีนเป็นคู่ค้าตลาดส่งออกและเป็นแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่งของไทย ขณะที่ไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 13 ของจีน ซึ่งเป็นผลของความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน รวมทั้งการเปิดใช้เส้นทางคมนาคมเชื่อมจีน-ลาว-ไทย และไทย-ลาว-เวียดนาม ขณะที่ด้านวัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยนกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งประเทศไทยยังมีชาวจีนโพ้นทะเลอาศัยอยู่มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก การฉลองครบรอบ 40 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตนี้จะสามารถนำความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์และนำมาซึ่งความสัมพันธ์ที่ยังยืนระหว่างไทยและจีนสืบต่อไป
ด้านนายหนิง ฟู่ขุย เอกอัคราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนฯ กล่าวว่า การที่ตนและนายพรเพชรได้เล่นปิงปองอย่างคึกคักและสนุกสนานทำให้ตนนึกถึงเมื่อปี ค.ศ. 1972 การแข่งขันปิงปองเอเชียครั้งแรกได้จัดขึ้นในกรุงปักกิ่ง ประเทศไทยได้ส่งทีมเข้าไปร่วมเป็นการเพิ่มพูนความเข้าใจระหว่างประชาชนจีน ประชาชนไทย ทำให้ทั้งสองประเทศเพิ่มความใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ ความไว้เนื้อเชื่อใจได้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง จนถึงวันที่ 1 ก.ค. 1975 นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล และนายกรัฐมนตรีหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้ร่วมกันลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทยอย่างเป็นทางการ เป็นประวัติศาสตร์ใหม่ของความสัมพันธ์จีน-ไทย เราเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและญาติที่ดีตั้งแต่โบราณกาล และตลอดระยะเวลา 40 ปี ตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการเมืองไม่ว่าสถานการณ์โลกจะผันผวนแปรปรวนอย่างไร ทั้งสองฝ่ายได้ยืนหยัดมีความจริงใจต่อกัน เอื้ออำนวยประโยชน์แก่กัน ได้มุ่งมั่นขับเคลื่อนการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือฉันมิตรในทุกๆ ปริมณฑล ความสัมพันธ์จีน-ไทยได้พัฒนาไปอย่างมั่นคงและครอบคลุมทุกด้านอย่างต่อเนื่อง ได้กลายเป็นแบบอย่างสำหรับการพัฒนาความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมือที่เกื้อกูลต่อกัน
นายหนิง ฟู่ขุย กล่าวว่า ทางด้านการเมืองทั้งสองประเทศเคารพซึ่งกันและกันมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกัน เราได้สร้างความสัมพันธ์หุ้นส่วนร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ผู้นำทั้งสองประเทศมีการไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเสมือนเยี่ยมญาติกัน เราให้ความเข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกันในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันสำคัญของแต่ละฝ่าย ช่วยเหลือเกื้อกูลและร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเมื่อเผชิญกับอุปสรรคและความท้าทาย สำหรับทางด้านเศรษฐกิจเราได้เอื้ออำนวยประโยชน์และพัฒนาก้าวหน้าด้วยกัน ปัจจุบันจีนและไทยกำลังมุ่งมั่นในการผลักดันความร่วมมือทางรถไฟซึ่งได้บรรลุความเห็นพ้องต้องกันหลายประการ ส่วนทางด้านสังคมและวัฒนธรรมมีการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การเรียนภาษาจีนกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในสังคมไทย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค.นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาไทยจำนวนสูงถึง 4,7800,000 คน โดยส่วนใหญ่เมื่อเดินทางมาถึงไทยนั้น สิ่งแรกที่ทำคือต้องกินทุเรียน ผลไม้ที่มีชื่อในไทย และยังมีการจัดส่งทุเรียนไปที่ จ.เชียงใหม่หลายหมื่นตัน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจีนอีกด้วย
“การชมนิทรรศการภาพถ่ายสะท้อนให้เห็นประวัติการพัฒนาของความสัมพันธ์จีน-ไทย ผมได้ตระหนักว่าความสัมพันธ์ของเราได้พัฒนามาอย่างทีละก้าวจนถึงทุกวันนี้เป็นพระคุณที่พระบรมวงศานุวงศ์ไทยทรงเอาพระทัยใส่ เป็นผลที่รัฐบาลทั้งสองประเทศได้ร่วมกันผลักดัน ปัจจุบันความสัมพันธ์จีน-ไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นใหม่แห่งประวัติศาสตร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เสนอให้ร่วมกันสร้างประชาคมเอเชียที่มีชะตากรรมร่วมกัน จีนและไทยควรเดินตามกระแสของยุคสมัยร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ผลักดันความร่วมมือทางรถไฟและโครงการสำคัญอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศอย่างจริงจังและแข็งขัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านสมาชิก สนช.ทั้งหลายจะสนับสนุนความสัมพันธ์ฉันมิตรจีน-ไทยต่อไปอย่างที่เคยปฏิบัติมา กดไลก์และสนับสนุน และลงคะแนนสนับสนุนจีน-ไทยมากยิ่งขึ้น” นายหนิง ฟู่ขุยกล่าว