เปิด 7 ข้อร่างกฎหมาย “แก้ปัญหาแม่วัยรุ่น” หลัง ครม. ไฟเขียว รับลูก “สาธารณสุข - สนช.” หวังลดปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่น กำหนดแม่วัยรุ่นมีอายุตั้งแต่ 10 - 19 ปีบริบูรณ์ ตั้ง “คณะกรรมการการป้องกันและแก้ไขปัญหาฯ” นายกฯ - รองฯด้านสังคมดูแล ดึงนักสิทธิฯ นักการศึกษา นักจิตวิทยา ร่วมกำหนดแผนเยียวยาปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์
วันนี้ (22 ก.ย.) พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎหมายการป้องกันและการแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ซึ่งอัตราการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นมีจำนวนมากขึ้นทั่วโลก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งกระทบต่อสุขภาพ ชุมชน สังคม ครอบครัวโดยรวม จึงได้มีการออกกฎหมายดังกล่าว โดยมีการกำหนดให้บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 10 - 19 ปีบริบูรณ์ มีสิทธิ์ได้รับข้อมูลข่าวสาร ตามสิทธิ์อนามัยเจริญพันธุ์ โดยให้สถานศึกษาจัดการเรียนการสอนเรื่องเพศวิธีศึกษา ให้มีความเหมาะสมกับช่วงอายุและระดับการศึกษา กำหนดให้มีการตั้งคณะกรรมการป้องกัน แก้ไข เยียวยาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น โดยจะมีรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตัวแทนเด็กและเยาวชนจากสภาเด็กเยาวชนแห่งประเทศไทย เข้ามาร่วมในคณะกรรมการนี้ด้วย
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาไปพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติฯ ซึ่ง นายเจตน์ ศิรธรานนท์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้ทันภายในกำหนดเวลาต่อไป
มีสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ ดังนี้
1. กำหนดบทนิยามคำว่า “วัยรุ่น” หมายความว่า บุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 10 ปี ถึง 19 ปีบริบูรณ์
2. กำหนดให้วัยรุ่นมีสิทธิได้รับข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และบริการตามสิทธิอนามัยการเจริญพันธุ์เกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอ และกำหนดให้สถานศึกษาต้องจัดให้มีการเรียนการสอนเรื่องเพศวิถีศึกษาให้เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียนและนักศึกษา รวมถึงการจัดหาและพัฒนาผู้สอนให้สามารถสอนเพศวิถีศึกษาและให้การปรึกษา ตลอดจนกำหนดให้สถานบริการ สถานประกอบกิจการ ราชการส่วนท้องถิ่นต้องให้ข้อมูลข่าวสาร และความรู้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างถูกต้อง เหมาะสม ครบถ้วน และทั่วถึง
3. กำหนดให้มี “คณะกรรมการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น” โดยมีนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นรองประธานกรรมการ มีกรรมการโดยตำแหน่ง 5 คน ได้แก่ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงแรงงาน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และปลัดกรุงเทพมหานคร และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 10 คน ซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งจากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีผลงาน และมีประสบการณ์เป็นที่ประจักษ์ในด้านการสาธารณสุข ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของวัยรุ่น ด้านการศึกษา ด้านจิตวิทยา และด้านการสังคมสงเคราะห์ ด้านละ 2 คน และผู้แทนเด็กและเยาวชนที่ได้รับการคัดเลือกจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ชาย 1 คน หญิง 1 คน โดยให้อธิบดีกรมอนามัย เป็นกรรมการและเลขานุการ
4. กำหนดให้คณะกรรมการการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น มีอำนาจหน้าที่เสนอนโยบายและยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นต่อคณะรัฐมนตรี ประสานงาน ติดตาม ประเมินผล และร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐและหน่วยงานของเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้มีการปฏิบัติตามนโยบาย แผนป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ตลอดจนกำหนดระเบียบและวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น การป้องกัน การช่วยเหลือ การแก้ไข และการเยียวยาปัญหาอนามัยการเจริญพันธุ์ของวัยรุ่นให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม รวมทั้งการป้องกันการใช้ความรุนแรงทางเพศ การกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ และการป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
5. กำหนดให้นโยบายและยุทธศาสตร์การป้องกันการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับมาตรการเกี่ยวกับการได้รับข้อมูลข่าวสาร และความรู้เกี่ยวกับอนามัยการเจริญพันธุ์อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และเพียงพอต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับสิทธิทางเพศของตนเอง มาตรการเกี่ยวกับการได้รับบริการด้านอนามัยการเจริญพันธุ์จากรัฐอย่างทั่วถึงเสมอภาค และไม่เลือกปฏิบัติ รวมถึงมาตรการเกี่ยวกับการป้องกัน การช่วยเหลือ การแก้ไขและการเยียวยาปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ทั้งนี้ การจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์ตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน ประชาสังคมและวัยรุ่นในท้องถิ่นด้วย
6. กำหนดให้คณะกรรมการและคณะอนุกรรมการอาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเชิญบุคคลใดมาให้ข้อเท็จจริง คำอธิบาย คำแนะนำ หรือความเห็นทางวิชาการได้ เมื่อเห็นควร และอาจขอความร่วมมือจากบุคคลใดเพื่อให้ส่งคำชี้แจง เอกสาร ข้อมูล หลักฐาน หรือวัตถุใดที่เกี่ยวข้องมาเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาได้
7. กำหนดบทกำหนดโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ โดยไม่มีเหตุ หรือไม่อาจแสดงเหตุผลอันสมควร ตลอดจนกำหนดให้ในกรณีที่หน่วยงานใดของรัฐ ไม่ดำเนินการตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้ให้คณะกรรมการมีอำนาจเสนอเรื่องดังกล่าวต่อรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้หน่วยงานนั้นดำเนินการตามอำนาจหน้าที่