“อภิสิทธิ์” เบรกแนวคิดยุบพรรคการเมืองให้จดทะเบียนใหม่ ระบุจะทำให้ประเทศถอยหลังกลับไปสู่พรรคการเมืองเฉพาะกิจ บอกถ้าอยากให้เสมอจริงคนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐขณะนี้ต้องไม่ยุ่งการเมือง ปูดมีคนต้องการให้มีพรรคเล็กแล้วไปร่วมตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ติง “วิษณุ” ชี้นำเขียนกฎหมายลูกก่อนร่าง รธน. จี้ “บิ๊กตู่” กำหนดทิศทางให้ชัด เผยส่ง 2 อดีต ส.ส.ให้ คสช.พิจารณานั่ง สปท.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าอาจจะให้ทุกพรรคการเมืองต้องไปจดทะเบียนตั้งพรรคตใหม่ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร และไม่เข้าใจว่าความหมายคือการยุบทุกพรรคใช่หรือไม่ โดยเห็นว่าสิ่งที่ คสช.ควรคิดคือการปฏิรูประบบและโครงสร้างพรรคการเมือง เพื่อให้เป็นของประชาชน และเป็นสถาบัน เป็นการสร้างมาตรฐานและปฏิรูปพรรคการเมือง แต่ถ้าบอกเพียงว่าจะยุบพรรคให้มาจดใหม่ แล้วเลือกตั้งภายใน 3 เดือน 6 เดือน จะทำให้ประเทศถอยหลังไปสู่การเป็นพรรคการเมืองเฉพาะกิจเพื่อการเลือกตั้ง และสร้างปัญหาอื่นตามมา ดังนั้น หากเห็นว่าพรรคการเมืองทำไม่ถูกต้องก็จัดการ กำหนดมาตฐาน ถ้าอยากให้พรรคการเมืองใหม่เข้ามาก็เปิดโอกาสให้จดทะเบียนเลย แต่อย่าทำให้พัฒนาการในอดีตที่ผานมาต้องย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ เพราะประเทศไทยไม่ได้ยุบพรรคการเมืองมาตั้งแต่ปี 2519 โดยการรัฐประหารหลายครั้งก็ไม่ได้ยุบพรรคการเมือง เพียงแต่ให้ปรับปรุงให้ได้มาตรฐาน เป็นของประชาชนอย่างไร กระจายอำนาจอย่างไร เป็นเรื่องที่ตนสนับสนุนเต็มที่
ส่วนที่นายวิษณุอ้างเรื่องความเสมอภาคนั้น นายอภิสิทธิ์ย้อนถามกลับว่า ทำไมไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองจดทะเบียนในขณะนี้ เพราะหากคิดว่าพรรคการเมืองมีไว้เพื่อรวมตัวเลือกตั้งเป็นการไม่พัฒนาประชาธิปไตยและประเทศ เพราะพรรคการเมือมีหน้าที่ทำงานต่อเนื่องไม่ใช่เฉพาะการเลือกตั้ง แต่เป็นการรวมตัวด้วยอุดมการณ์ของคนที่มีความคิดเดียวกัน แต่ถ้าคิดง่ายๆ ว่าจะเลือกตั้งใหม่ แล้วให้จดทะเบียนพรรคใหม่หมดเป็นเรื่องที่อันตราย
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่ามีเป้าหมายอย่างอื่นซ่อนเร้นหรือไม่ เพราะหากจดทะเบียนใหม่ก็เท่ากับต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารพรรคใหม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ต้องถามคนที่คิดเรื่องนี้ ขอให้จับตาดูความเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะหากจะให้เสมอภาคก็ต้องเอาให้ชัดว่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐในขณะนี้ต้องไม่ยุ่งกับการเมือง
“ผมได้ยินว่ามีบางคนอยากให้เกิดพรรคเล็กๆ แล้วไปรวมเป็นรัฐบาลแห่งชาติ ความจริงควรหลุดพ้นจากความคิดนี้ได้แล้ว เพราะเราต้องการนักการเมืองและพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์และคนใหม่ แต่ต้องไม่ทำให้พรรคการเมืองที่ดี หรือพยายามทำดี ถูกมองว่าเหมือนกับนักการเมืองที่ทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่เช่นนักการเมืองก็ไม่เดินหน้า จึงไม่อยากให้มุ่งไปที่เป้าหมายการเมือง ขอชวนให้ทุกพรรคช่วยกันบอกว่าจะปฏิรูปพรรคการเมืองอย่างไร”
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่าเป็นแผนที่จะจัดการนายอภิสิทธิ์ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพราะขัดขวางเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ระหว่าง 2 พรรคใหญ่ที่เป็นโรดแมปของ คสช.นั้น นายอภิสิทธิ์ปฏิเสธที่จะตอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของตัวเอง แต่ถ้าคิดว่าในตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นอุปสรรคของใครหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าเป็นอุปสรรคต่อแนวความคิดนิรโทษกรรม โดยไม่ให้กระบวนการทางกฎหมายจัดการก่อน ตนเป็นอุปสรรคกับความคิดที่ว่านักการเมืองมีไว้ฮั้วกัน แบ่งอำนาจทางการเมืองแล้วทุกคนจะมีความสุข ซึ่งหากความคิดนี้ไปขัดใจใครก็ต้องต่อสู้กันตามระบบกฎหมายและการเมือง
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้งในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเราหนักแน่นในอุดมการณ์ เพียงแต่แนวความคิดเกี่ยวกับเส้นทางในช่วงเปลี่ยนผ่านยังมีความหลากหลาย แต่พื้นฐานความคิดต่างกัน เช่นบางคนที่สนับสนุนก็คิดแค่ว่าเป็นการไปจดทะเบียนใหม่ แค่กระบวนการธุรการ ไม่ใช่การยุบพรรค แต่หากยุบพรรคเขาก็ไม่เห็นด้วย ดังนั้นนายวิษณุต้องพูดให้ชัดว่าความหมายตรงนี้คืออะไร
“เราอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นสถาบันของประชาชน ทำงานต่อเนื่อง เป็นได้ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน การพัฒนาพรรคการเมืองต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องการเงิน การกระจายอำนาจ ระบบบริหารพรรคที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งไม่สามารถทำได้ภายใน 3-6 เดือน แต่ต้องอาศัยพัฒนาการและกฎหมายเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าคิดว่าพรรคการเมืองมีไว้เพื่อเป็นคอกสำหรับผู้เล่นเวลาเลือกตั้งแล้วมาเจรจาต่อรองกันบ้านเมืองก็ถอยหลัง สุดท้ายการเมืองกลับไปเรื่องผลประโยชน์ มีการทุจริตคอร์รัปชัน สิ่งที่คิดอยากทำในขณะนี้ก็สูญเปล่า”
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่า ยังไม่แน่ใจว่าแนวทางนี้คือวิธีคิดของผู้มีอำนาจหรือไม่ เพราะถ้าฟังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.และนายกรัฐมนตรีก็พูดชัดว่าอยากให้บ้านเมืองไม่ขัดแย้งและไม่เอานิรโทษกรรม จนกว่าจะมีการจัดการทางกฎหมาย และไม่เคยได้ยินว่าจะบังคับให้ทุกคนเป็นรัฐบาล เพียงแต่บอกว่า คนที่เป็นรัฐบาล กลับไม่เป็นรัฐบาลอย่าตีกัน แต่มีความในแม่น้ำสายต่างๆ มีความคิดวนเวียนกับเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ คิดว่าพรรคใหญ่เป็นปัญหา หรือคนนั้นคนนี้มีปัญหา ก็คิดกำจัดทางการเมือง หาก พล.อ.ประยุทธ์หลักแน่นในเป้าหมายก็คงไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่าผู้มีอำนาจจะสามารถยุบพรรคได้สำเร็จหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คนจะร่างรัฐธรรมนูญยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง แต่กลับมีการพูดล่วงหน้า โดยไม่ให้เกียรติคนที่จะเข้ามาทำงาน จึงขอย้ำว่า 21 คนที่จะเข้ามา ท่านจะฟังใครก็แล้วแต่ แต่คนอนุมัติคือประชาชนและตนบอกได้เลยว่าการจะยุบพรรคให้ไปจดทะเบียนใหม่จะทำให้เกิดพรรคเฉพาะกิจ พรรคที่มีนายทุนและผู้มีอิทธิพลเป็นเจ้าของไม่เดือดร้อน เพราะยุบชื่อนี้ก็ไปตั้งชื่อใหม่รวมแก๊งค์เหมือนเดิม แต่พรรคที่ประชาชนมีส่วนร่วมสร้างมาย่อมรู้สึก จึงต้องคิดว่าจะส่งเสริมพรรคการเมืองแบบไหน
ส่วนแนวคิดนี้เป็นการทำลายพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องรอฟังว่าจะให้จดทะเบียนแบบไหนอย่างไร ทั้งนี้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นหัวหน้า คสช.ต้องกำหนดทิศทางให้ชัด ซึ่งตนก็เห็นว่ามีความตั้งใจ แต่ความคิดรอบตัวมีความหลากหลาย แต่ในที่สุดคนทำงานต้องรับผิดชอบ ใครจะคิดเขียนกฎหมายลูกก่อนตัวรัฐธรรมนูญก็แปลก เพราะต้องดูเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดก่อน
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงคำเปรียบเทียบที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นใหม่กระว่าง “ประชานิยม” เป็น “ประชารัฐ” ว่า ที่ผ่านมามีการพูดคำว่าประชานิยมพร่ำเพรื่อเกินไป แต่คำว่า “ประชารัฐ” ไม่ขอวิจารณ์ แต่อยากบอกว่านโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนไม่จำเป็นต้องเป็นประชานิยมเสมอไป เพราะบางเรื่องเป็นสวัสดิการ และจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือ หรือแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แต่ที่ต้องหนีให้พ้นคือประชานิยมเพื่อเอาใจคนให้ได้คะแนนเสียง โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายกับประเทศ เช่น จำนำข้าว รถคันแรก
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงกรณีที่ คสช.ขอรายชื่อผู้ที่จะไปร่วมเป็นสภาขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ (สปท.) ว่า ตนได้ส่งรายชื่อตามที่มีคำขอมา 2 ชื่อ แต่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ คสช.ว่าจะเลือกหรือไม่ แต่ไม่ขอเปิดเผยเพราะเป็นเรื่องมารยาท โดยรายชื่อที่ส่งไปเป็นคนที่มีความตั้งใจผลักดันการปฏิรูปและเป็นผู้อาวุโส ส่วนที่เป็นข่าวว่านายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ จะไปเป็น สปท.ในนามของ กปปส.นั้น ตนเห็นว่าตอนนี้ กปปส.กับพรรคประชาธิปัตย์แยกกันอยู่แล้ว แม้ว่าสมาชิกอาจจะอยู่ในองค์กรทั้งสองส่วน แต่นายอรรถวิชชญ์ไม่ใช่ผู้อาวุโส และตนไม่ได้ส่งชื่อไป ซึ่งเจ้าตัวก็ต้องชัดเจนเพราะเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ส่วนวันข้างหน้าการพิจารณาเป็นเรื่องของพรรค
รายงานข่าวแจ้งว่ารายชื่อ 2 คนที่นายอภิสิทธิ์ส่งให้แก่ คสช. ประกอบด้วย นายกษิต ภิรมย์ และนายถวิล ไพรสณฑ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค ทั้งสองเป็นอดีต ส.ส.อาวุโสในจำนวน 11 คนที่ประกาศจะยุติบทบาททางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า