นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เปิดเวที “สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” ชูสัญญาประชาชนร่วมแก้ไขปัญหาในอดีต โอ่เปลี่ยนประชานิยมเป็นประชารัฐ จะไม่ทอดทิ้่งใคร บอกมีกำลังใจมากขึ้น พร้อมสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น กลัวชาวนาหันไปทำโรงงาน แต่เชื่อใน 1-2 ปีน่าจะดีขึ้น ขอชาวบ้านอย่าเอาเงินกองทุนไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง อย่าไปฟังคนอื่นมากจะลำบาก แย้มชงกฎหมายเอาผิดทั้งคนรับและให้สินบน ลั่นใครทำผิดให้บอก ถามยอมหรือไม่ให้คนที่อยู่เมืองนอกบิดเบือนและกดดัน
วันนี้ (20 ก.ย.) ที่ฮอลล์ 9 อิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี เมื่อเวลา 09.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานเปิดเวทีจุดประกาย “สานพลังประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก” เพื่อประกาศการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างเป็นทางการ โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี, ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส, นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงาน ร่วมด้วยผู้นำภาคธุรกิจ เครือข่ายภาคประชาสังคม หน่วยงานส่วนท้องถิ่นเข้าร่วมประกาศเจตนารมณ์
โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวตอนหนึ่งว่า วันนี้เป็นวันแห่งความสดใส ดีใจที่เห็นทุกคนมีรอยยิ้ม หน้าตามีความสุข วันนี้เรามาร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ สร้างพลังในการทำความดีให้ประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อตนเอง หรือข้าราชการ แต่ทำเพื่อประชาชนทุกคน วันนี้ถือว่าเรามาร่วมมือกัน มาสัญญา ซึ่งไม่ใช่นโยบายหาเสียง ถือเป็นสัญญาระหว่างรัฐและประชาชนที่จะร่วมมือแก้ไขปัญหา หรือแก้ไขความผิดพลาดในอดีตทั้งหมดให้ได้โดยความร่วมมือกัน แต่ไม่ใช่เป็นประชานิยม เพราะประชานิยมเป็นเรื่องที่ประชาชนให้ความนิยมต่อภาครัฐ แต่รัฐบาลนี้เป็นความร่วมมือของรัฐบาลกับประชาชน ในการแก้ไขปัญหา อย่าลืมว่าสัญญาคือสิ่งที่สองฝายตกลงที่จะร่วมมือกัน เหมือนผู้หญิงกับผู้ชายที่จะแต่งงานกัน ต้องมีการตกลงร่วมกันในการใช้ชีวิตร่วมกัน ไม่ทิ้งขว้าง รัฐบาลนี้เราก็มีสัญญากับประชาชน ถือเป็นสัญญาระหว่างเราทั้งสองข้าง
“ผมเป็นรัฐ ท่านเป็นประชาชน มาสัญญาร่วมกันที่จะทำงานต่างๆ ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อผม แต่ฟากเราต้องทำเพื่อท่าน ถ้าเราทำแบบเอาเงินไปให้ทุกครั้งที่มีปัญหาวันหน้าก็จะต้องเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เกิดการเป็นบุญคุณ ซึ่งก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่รัฐบาลนี้ไม่เคยคิดที่จะมีบุญคุณกับพวกท่าน เพียงแต่ต้องการให้เกิดบุญคุณกับประเทศชาติ และครอบครัวของทุกคนเท่านั้น ถ้าเราสามารถสานพลังเช่นนี้ได้ ประเทศชาติก็จะเจริญเติบโตต่อไปได้ในวันข้างหน้า ประเทศต้องเริ่มตนให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ชานรากขึ้นมา ทุกรัฐบาลก็พยายามที่จะทำแต่ยังไม่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง และเพียงพอ เพราะขาดทั้งประสิทธิภาพ ความร่วมมือ รวมทั้งคำมั่นสัญญาที่ให้กันไว้ ถูกหลงลืม วันนี้เราจะต้องร่วมมือทำให้เกิดความชัดเจนภาครัฐ เอกชน ภาคประชาชน และท้องถิ่น มีส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจฐานราก” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลพูดอะไรเข้าใจยาก ทำให้เกิดความหวาดกลัว แต่เชื่อว่าวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่ทราบแล้ว ทั้งเรื่องความเหลื่อมล้ำ การเข้าถึง การบริการ กฎหมายต่างๆ ดังนั้น ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนต้องยึดถือไว้ รวมทั้งต้องมีความรู้คู่คุณธรรม โดยเฉพาะผู้ปกครองที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง จะต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม มีหลักธรรมาภิบาล ประชาชนเองก็จะต้องมีศีลธรรม สร้างเป็นหมู่บ้านศีล 5 หากทำได้สังคมก็จะมีความสุข แต่ทุกวันนี้แค่ศีล 5 ก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้เกิดความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ให้สังคมมีความมั่นคง และสงบสุข สิ่งสำคัญเราจะต้องเจริญเติบโตแข็งแรงไปด้วยกัน เมื่อสังคมเข้มแข็งก็จะไม่มีความขัดแย้ง ก็จะได้มีเวลามาเตรียมความพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงในโลก ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาไปมากทุกคนสามารถเข้าถึงได้จากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทุกกระทรวงมีข้อมูลต่างๆ บรรจุไว้สามารถที่จะเข้าไปค้นหา และอย่าได้กลัวข้าราชการ ทุกคนพร้อมที่จะให้บริการประชาชน
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็น และที่ตนต้องพูดอยู่ทุกวันก็เพราะต้องการให้ทุกคนเข้าใจ ถ้าเราไม่ฟังใครก็จะคิดไปเองโดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำ ความท้อแท้ หมดกำลังใจ แล้วพอมีใครมาชักจูงก็ไปกับเขาง่ายๆ ไม่สามารถกลับมาสู่ช่องทางปกติได้ ทำให้เกิดความแตกแยกในประเทศ ประเทศก็เดินหน้าไม่ได้ วันนี้ประเทศชาติไม่ใช่ของตน หรือของคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนทั้ง 70 ล้านคน ที่เรียกว่าเป็นประชารัฐ หากฟังเพลงชาติไทยผู้ประพันธ์ก็ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าประเทศไทย เป็นประชารัฐ ไม่มีคำว่าประชานิยม ประชารัฐหมายถึงประชาชนกับรัฐบาล ร่วมกัน รัฐบาลจะเป็นผู้ที่อำนวยความสะดวก เปิดช่องทางให้เอกชน ประชาชน เข้ามาร่วมมือกันตามกระบวนการประชาธิปไตย ไม่มีความขัดแย้งระหว่างประชาขนกับรัฐบาล
“ถ้ารัฐบาลมีธรรมาภิบาล ประชาชนก็จะดีร่วมมือกันทำงาน และจูงมือเดินกันไปพร้อมๆ กัน ไม่มีความขัดแย้ง ไม่ทิ้งใครไว้เรี่ยราด แล้วค่อยทำให้คนทีกลุ่มทีละพวก รัฐบาลนี้มีความห่วงใยทุกคน จะไม่ทอดทิ้งใครไว้ ผมตั้งใจที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะเห็นพวกท่านบางคนจนมาตลอดชีวิต ผมเป็นทหารทั้งชีวิต บางคนจนอยู่อย่างไรก็จนอยู่อย่างนั้น ไม่เห็นรวยขึ้น เราต้องรวมกันเป็นปึกแผ่นให้ได้ และพลังใจเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง และวันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นทุกวัน เพราะเห็นรอยยิ้มจากทุกๆ คน ขอความร่วมมือทุกคนสร้างความสร้างสรรค์ ไม่ใช่มาต่อยตีกันเหมือนแต่ก่อนมันเสียเวลา” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วันนี้ต้องสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่นให้ได้ การปลูกพืชเกษตรกรต้องมีการปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล โดยรัฐบาลจะส่งเสริมทางด้านการตลาด ซึ่งมีแนวคิดจะเปิดตลาดกลางเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกษตรกร มีการเชื่อมต่อและเจอกับผู้ค้าโดยตรง เป็นการสร้างเครือข่ายในท้องถิ่น เพื่อสร้างความสมดุลราคาสินค้า และต้องมีการพัฒนาสินค้า ไม่เช่นนั้นจะแข็งขันกับนานาประเทศไม่ได้ โดยต้องทบทวนกันใหม่ทั้งหมด เราต้องเดินหน้าประเทศให้ได้ เริ่มจากชุมชนท้องถิ่น จะได้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สิ่งที่ตนกลัวคือวันหน้าจะไม่มีคนปลูกข้าวให้กิน เพราะรายได้ตกต่ำ มีแต่หนี้สิน ขณะเดียวกันราคาข้าวในตลาดโลกก็เกิดการแข่งขัน คนทำนาหันไปทำงานโรงงาน แต่คิดว่าภายในปีสองปีทุกอย่างน่าจะดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้าว ยางพารา ถ้าเรามีการปรับเปลี่ยนตัวเอง วันนี้เราต้องพึ่งพลังประชาชน ต้องมีหัวใจที่ทุ่มเท น้ำไม่ดีก็ต้องบริหารจัดการน้ำ ต้องหาวิธีการ ถ้าเราไม่ขี้เกียจก็จะมีกินทุกวัน ถ้ารัฐทำดีก็ต้องส่งเสริม เพราะรัฐทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งประเทศไทยเราเป็นรัฐหนึ่งรัฐเดียวแยกจากกันไม่ได้ ทั้งพฤติกรรม นิตินัย และพฤตินัย ต้องเท่าเทียมกัน มีการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทั่วถึงทุกภูมิภาค ที่สำคัญวันนี้เราต้องเปิดมุมมองใหม่เปิดตาให้กว้างและฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ที่จะร่วมมือขับเคลื่อนประเทศไปให้ได้ ต้องฟังและคิดว่าใครอยากให้ประเทศเดินหน้า โดยเวลาที่ตนจะทำก็มีไม่มาก
“รัฐบาลช่วยทุกอย่าง แต่มันอยู่ที่คนที่จะต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน รวมถึงข้าราชการ และรัฐบาล เพราะถ้าไปอย่างนี้มันไปไม่ได้ เพราะมันมีการเมือง มีคะแนนเสียง มันก็จะไปไม่ได้ มันก็จะเป็นอยู่แบบนี้ ตนเจ็บปวดแทนท่านนะ ซึ่งท่านต้องเข้มแข็ง ดูแลตัวเองให้ได้ เพราะจะสหกรณ์ มีกองทุน ต้องเชื่อมั่นไว้วางใจกันด้วย มีสัญญาต่อกัน อย่าทำให้ใครเดือดร้อน เมื่อเอาเงินไปแล้วก็ต้องเอาเงินมาคืน เพื่อให้คนอื่นไปใช้ต่อ อย่าเอาไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ เพราะจะทำคนสองข้างตลอดเวลา ท่านต้องช่วยบ้านเมือง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันการปลูกข้าวก็ราคาตกแต่ซื้อข้าวแพง ตนต้องให้เอาข้าวที่มีอยู่ในคลังขายให้สหกรณ์ทั่วประเทศ 181 แห่ง โดยลดให้ 20 เปอร์เซ็นต์ และใครไปซื้อราคาแพงก็ให้มาบอก นี่คือการทำธุรกิจเพื่อสังคม เพื่อประชาชนจริงๆ ถ้าทำความเข้มแข็งขึ้นภายในได้แล้ว ฐานรากก็จะเข้มแข็ง เกิดห่วงโซ่เพิ่มมูลค่า ถ้าเราทำไม่ได้ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจร่วมกันในภูมิภาคก็จะไปไม่ได้ ไม่ใช่มาค้าขายแข่งกัน แต่ต้องร่วมมือกัน ไม่ทิ้งประเทศประเทศไหนไว้ข้างหลัง ไม่ใช่แบ่งเขตแดนการค้าการลงทุน การไปมาหาสู่กันไม่มีประโยชน์ถ้าจะมารบกัน สิ่งสำคัญคนท้องถิ่นต้องเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ซึ่งตนฟังข้างล่าง ถ้าเข้มแข็งก็จะมีกองทุนหมุนเวียนลงไปมากกว่านี้ และต้องซื่อสัตย์ต่อกัน
“อย่าไปฟังคนอื่นมากนัก เพราะจะลำบาก วันนี้การเมืองแรง เราต้องทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็ง ไม่ใช่ล้มแหล่ไม่ล้มแหล่มาตลอด เพราะเกิดจากความยากจน ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน ตรงนี้รับไม่ได้ การตัดสินใจอะไรให้ใช้ความรู้ ให้ฟัง วันนี้ผมคาดหวังที่จะสร้างความเชื่อมั่น มาเป็นผู้รับใช้ ไม่ใช่มาเป็นเจ้านาย ท่านเป็นเจ้านายผม และทุกคนต้องช่วยกันขับเคลื่อน บนความสงบ มีเสถียรภาพ ถ้าประเทศใดไม่มีเสถียรภาพ ทั้งจากเรื่องประชาธิปไตย ความขัดแย้ง ความเห็นต่าง ที่พูดมาทั้งหมดถ้ามี กลายเป็นประเทศล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และถ้าผมไม่เข้ามา ยิ่งกว่าตอนที่ผมมาอีก ที่พูดไม่ได้ทวงบุญคุณ เราเป็นคนไทยอย่าไปฟังคนอื่นที่พูดจาบิดเบือนมาตลอด กฎหมายมีหน้าที่อยู่แล้ว” นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ต้องแก้ด้วยการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มีธรรมาธิบาล ที่ผ่านมาก่อนมาในระยะต่อไปนั้น เราต้องไปมองที่ผ่านมาเป็นอย่างไร มีความสำเร็จ ฉะนั้นการเป็นประชาธิปไตยเราให้สมบูรณ์ ไม่มีความขัดแย้ง และต้องเดินหน้าประเทศอย่างที่ตนพูด
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ขณะนี้กำลังบอกให้ออกกฎหมายเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการทุจริต ทั้งผู้ที่รับสินบนและผู้ที่ให้สินบน ซึ่งเรื่องนี้หากไม่มีการให้สินบนก็จะไม่มีการรับ ดังนั้นจึงต้องเอาผิดกับคนเหล่านี้ด้วย หากพบว่ามีใครกระทำความผิดก็ขอให้มาบอกตน ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ใคร ยืนยันว่าแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่อยากได้ และไม่ต้องกลัวหากมีการร้องเรียน เราต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นอีก ส่วนความขัดแย้งในท้องถิ่นจะต้องมาช่วยกันว่าจะแก้ไขอย่างไร ให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าถ้าทุกอย่างไม่สามารถเดินหน้าได้ แล้วประเทศจะเติบโตได้อย่างไร ถ้าต่อต้าน เช่น ระบบสาธารณูปโภค อุตสาหกรรมเสริมสร้างอาชีพ พลังงาน เขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะต้องเกิดขึ้นในชนบท แต่หากไม่สามารถเดินหน้าได้จะก่อให้เกิดความเดือดร้อน อย่างไรก็ตาม กฎหมายจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รัฐธรรมนูญเดียวกัน สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันหน้าเราต้องการรัฐบาลที่ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่สร้างปัญหาความขัดแย้ง และความแตกแยก เพื่อความเป็นศูนย์กลางแห่งภูมิภาคอาเซียน อย่าพูดแต่เพียงว่าต้องการประชาธิปไตย ตอนนี้เราเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่ต้องคิดว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบสุข ทั้งการค้า การลงทุน ทำให้ประเทศปลอดภัย ตนต้องการสร้างความเข้มแข็งและประชาธิปไตยให้กับประเทศนี้ จึงต้องให้เวลากับตนด้วย ขณะเดียวกัน เรื่องเหล่านี้ก็ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ไม่สามารถทำแค่เฉพาะหน่วยงานรัฐบาลหรือ ข้าราชการ แต่อยู่ที่คนไทยทุกคน ท่านยอมหรือไม่ที่จะให้คนอยู่นอกประเทศกดดันและบิดเบือนต่อไป แต่เรากำลังทำให้คนทั้งโลกรู้ว่าเราทำอะไรอยู่ อย่าให้สิ่งอื่นเข้ามาปิดกั้นตัวเราเองและสร้างความแตกแยก หากเรารวมพลังและสร้างความเข้าใจ ปัญหาทั้งหมดในโลกนี้จะสามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน ต้องรู้ว่าเวลานี้คนไทยต้องการอะไร บ้านเมืองจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน นอกจากนี้ก็ไม่เห็นจะต้องฟ้องคนอื่นเกี่ยวกับบ้านเรา เพราะนี่เป็นประเทศของเรา ทุกอย่างต้องแก้ไขปัญหาด้วยกระบวนการ ตนยอมไม่ได้หากทุกอย่างไม่เข้าสู่กระบวนการ และอย่าให้ใครมาว่าบ้านเราได้
“ในเพลงชาติไทยมีคำว่าประชารัฐ ไม่ใช่ประชานิยม วันนี้เป็นความพยายามเปลี่ยนประชานิยมเป็นประชารัฐให้ได้ ผมไม่ได้ทะเลาะกับใคร เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน ด้วยมือของเราเอง ไม่มีใครทำไม่ได้นอกจากสองมือของท่านเอง รัฐบาล ข้าราชการเป็นเพียงผู้นำพาเท่านั้น แต่ต้องรวมถึงประชาชนด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงให้แนวทางการอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างอดีตเช่น บ้าน วัด โรงเรียน ดังนั้น เราต้องใช้คนในพื้นที่ให้เกิดประโยชน์” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว