กรรมการสมาคมนักข่าวฯ ระบุนายกรัฐมนตรีกล่าวโทษว่าสื่อไม่มีจรรยาบรรณ สมาคมสื่อดูแลกันเองไม่ได้เป็นคนละประเด็น ระบุต่อให้สื่อเขียนข่าวแรง หรือเขียนข่าวชมก็ไม่มีผลโดยตรง เทียบกับข้อเท็จจริงในผลงาน และประสิทธิภาพบริหารประเทศ ชี้หากสื่อละเมิดนายกฯ ผู้บริโภคข่าวและสังคมทั่วไปตรวจสอบได้ อีกทั้งสื่อไม่ได้มีหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล เรียกร้องเคารพบทบาทหน้าที่ซึ่งกันและกัน และพูดคุยเป็นเรื่องราว
วันนี้ (16 ก.ย.) นายจักร์กฤษ เพิ่มพูล กรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย แสดงความขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในบทบาทของสมาคมสื่อ โดยเฉพาะบทบาทในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทย แต่การกล่าวโทษว่าสื่อไม่มีจรรยาบรรณ อีกทั้งสมาคมสื่อก็ไม่มีความสามารถที่จะควบคุมดูแลกันได้นั้นเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็นกัน เพราะข้อกล่าวหาว่าสื่อเขียนข่าวให้ดูรุนแรงขึ้น หรือคำชื่นชมสื่อที่เขียนข่าวดีแล้วในความเห็นของนายกรัฐมนตรีไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นประเทศไทย มากกว่าข้อเท็จจริงในผลงานของรัฐบาล หรือประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของผู้นำเอง
“ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้บิดเบือนไม่ได้ พูดให้คนเชื่อไม่ได้ เขียนให้คนเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่ได้มาจากความเป็นจริง หลักจริยธรรมเราชัดเจนว่า การเขียนข่าวต้องยึดถือข้อเท็จจริง ถูกต้องแม่นยำ และครบถ้วน ประการสำคัญต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย สมาคมสื่อไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในการทำงานของสื่อใดๆ หากพวกเขาละเมิดหลักการนี้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคข่าวสาร สังคมทั่วไปจะตรวจสอบเอง ซึ่งผมเชื่อว่าในยุคสมัยที่มีสื่อหลากหลายเช่นนี้ คงไม่มีสื่อใดจะบิดเบือนข้อมูล ข่าวสารได้”
นายจักร์กฤษกล่าวว่า หลักการทำงานของสื่อมวลชนทั่วไป ย่อมต้องคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญอยู่แล้ว คงไม่มีสื่อใดที่มีเจตนามุ่งร้ายให้ประเทศชาติเสียหาย เพราะสื่อมวลชนก็มีฐานะเป็นสมาชิกหน่วยหนึ่งของสังคมไทยที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกับคนอื่นๆ ในสังคมด้วย สมาคมสื่อที่ก่อตั้งและมีอายุยืนนานมาหลายสิบปี ก็ย้ำเตือนถึงการทำงานของสื่อที่ต้องใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบมาตลอดเวลา และยังคงยืนยันว่าหากมีสื่อที่ไม่มีความรับผิดชอบ หรือกระทำผิดจริยธรรม สมาคมสื่อก็จะไม่ปกป้อง และจะมีการตรวจสอบกันเองอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา
กรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวฯ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ให้ความเคารพในบทบาทและหน้าที่ซึ่งกันและกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีหน้าที่ต่อประเทศชาติเช่นเดียวกัน หากแต่ต่างบทบาทกัน ความคิดในเรื่องอาวุโส เด็กหรือผู้ใหญ่นั้น ไม่น่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่โดยวิชาชีพของสื่อมวลชน หรือการทำหน้าที่ในฐานะผู้นำประเทศ ซึ่งถือว่าเป็น “บุคคลสาธารณะ” สื่อมวลชนมีหน้าที่ตั้งคำถาม นายกรัฐมนตรีมีหน้าที่ตอบ หากคำถามไม่เป็นที่พึงพอใจ นายกรัฐมนตรีก็อาจละเว้นไม่ตอบได้ ขณะเดียวกันสื่อมวลชนก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา และให้เกียรติแหล่งข่าวด้วยเช่นกัน
“บรรยากาศความไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่ายเช่นนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง จนดูเหมือนมีความขัดแย้งระหว่างท่านนายกรัฐมนตรีและสื่อตลอดเวลา ภาพเหล่านี้ปรากฏต่อสาธารณะมานานนับปี ผมคิดว่าประเด็นคงอยู่ที่ความไม่เข้าใจในวิชาชีพสื่อมวลชน ที่อาจมีลักษณะพิเศษแตกต่างจากอาชีพอื่นๆ ในเวลาเดียวกันท่านนายกรัฐมนตรีก็อาจมีความคาดหวังว่าสื่อจะมีบทบาทสำคัญเกื้อหนุนให้ท่านได้ทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย ซึ่งสื่อไม่ได้มีหน้าที่เช่นนั้น เช่นเดียวกับกลุ่มอื่นๆ ที่แวดล้อมท่านอยู่ ทางเดียวที่อาจทำให้ปัญหานี้คลี่คลายได้ คือหันหน้ามาพูดคุยกัน ปรับทัศนคติกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักครั้ง” นายจักร์กฤษกล่าว